‘เฉลิมชัย’  ชวนเกษตรกร เปลี่ยน ‘ปลูก’ ให้ ‘ใช่’ สู่พืชเศรษฐกิจรายได้สูงที่ตลาดต้องการนำร่อง กล้วยหอมทอง อ.แม่แตง การันตีราคาขาย พร้อมเตรียมจับมือ Beisia นำเข้าผลผลิตสู่ญี่ปุ่น

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เปิดเผยว่า ภาคเกษตรมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศในทุกมิติ โดยที่ผ่านมา ได้ยึดหลัก “ตลาดนำการเกษตร” ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่หลากหลายอย่างเหมาะสมเพื่อให้ก้าวทันยุคสมัย ซึ่งนอกจากการผลิตสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแล้ว สินค้าเกษตรต้องมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และปลอดภัย และแน่นอนว่า สิ่งสำคัญที่ถือเป็นหัวใจหลักของการผลิต  คือการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมให้เหมาะสม โดยผลักดันให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการผลิตไปสู่พืชเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับพื้นที่ของตนเองตามแผนที่การเกษตรเชิงรุก (Zoning by Agri-Map) ที่ตลาดมีความต้องการสูง

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้เตรียมวางแนวทางเพื่อดำเนินโครงการ เปลี่ยน ‘ปลูก’ ให้ ‘ใช่’ เพื่อให้เกษตรกรหันมาผลิตสินค้าเกษตรที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจที่มีตลาดรองรับแน่นอน ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ และยังให้ผลตอบแทนที่สูง คุ้มค่าแก่เกษตรกร  โดยจะบูรณาการความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ สร้างความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อขยายตลาดส่งออกสินค้าเกษตร และรับซื้อในราคาที่สูงกว่าท้องตลาดทั่วไป รวมถึงยังลดความเสี่ยงให้แก่เกษตรกร ด้วยการร่วมมือกับบริษัทประกันภัยสินค้าเกษตร รองรับกรณีเหตุการณ์ภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น อันเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกร  นอกจากนี้ ยังดำเนินการควบคู่ไปกับการถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาผลผลิตให้ได้มาตรฐาน สามารถคงคุณภาพด้วยการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อยืดอายุของสินค้าเกษตร สร้างโอกาสในการส่งออกไปสู่ตลาดโลก อีกทั้งยังก่อเกิดการจ้างแรงงานภาคเกษตรในพื้นที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยปัจจุบัน มีสินค้าเกษตรหลายชนิดที่ผลผลิตไม่เพียงพอและเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ  อาทิ กล้วยหอมทอง โกโก้ กระเจี้ยบเขียว ถั่วลันเตา ข้าวโพดฝักอ่อน มะปราง มะยงชิด

การดำเนินโครงการดังกล่าว ขณะนี้ได้มีการศึกษาและเริ่มนำร่องแล้วในพืชเศรษฐกิจ กล้วยหอมทอง เป็นชนิดแรก กำหนดพื้นที่เป้าหมายจำนวน 300 ไร่ อ.แม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีศักยภาพทางภูมิศาสตร์ตามแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) เหมาะสมกับการเพาะปลูกกล้วยหอมทอง โดยเบื้องต้นมีการหารือร่วมกับกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรที่ปลูกกล้วยหอมทอง เกษตรกรแปลงใหญ่ Young Smart Farmer  ผู้ประกอบการ และเกษตรกรรายอื่นๆ ในพื้นที่ที่สนใจปรับเปลี่ยนการผลิตสู่กล้วยหอมทองร่วมกัน ซึ่งพบว่า พื้นที่ดังกล่าว สามารถให้ผลผลิตที่ได้คุณภาพมาตรฐาน โดยปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการจำนวน 64 ราย พื้นที่รวม 167 ไร่  กลุ่มเกษตรกรมีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 21,077 บาท/ไร่ (เริ่มให้ผลผลิตในเดือนที่ 9 – 11 และเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 2 ปี) มีการจำหน่ายตามเกรดต่างๆ  ของผลผลิต โดยเกรด A ราคาที่เกษตรกรขายได้จะอยู่ที่ 14 บาท/กก. ให้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 4,160 กก./ไร่ สร้างรายได้ 54,080 บาท/ไร่ คิดเป็นผลตอบแทนสุทธิ (กำไร) 33,000 บาท/ไร่

ด้านนายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า สำหรับผลผลิตกล้วยหอมทองที่ได้ นอกจากจำหน่ายในประเทศแล้ว ด้วยคุณลักษณะที่โดดเด่น ทั้งรสชาติ และคุณประโยชน์ จึงทำให้กล้วยหอมทองไทย เป็นที่ต้องการของตลาดส่งออกต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งล่าสุดได้ประสานความร่วมมือกับบริษัทธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ขนาดใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น Beisia Supermarkets ที่มีความต้องการกล้วยหอมทองเฉลี่ย 1,125 ตัน/เดือน หรือ 13,500 ตัน/ปี นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังร่วมกับทาง Beisia  และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ส่งเสริมองค์ความรู้ในการเพาะปลูก ตั้งแต่การเลือกพันธุ์ เทคนิคการปลูก การเก็บเกี่ยว โดยนำเทคโนโลยีน้ำนาโน  (Fine Bubble Technology) ที่มีการพัฒนาในประเทศญี่ปุ่น เพื่อรักษาสภาพและยืดอายุของสินค้าเกษตรในการส่งออกอีกด้วย เบื้องต้นคาดว่าจะมีการลงนามความร่วมมือ MOU ร่วมกันระหว่างกลุ่มเกษตรกร Beisia Supermarkets  และ บริษัทประกันภัย ในช่วงต้นปี 2564  โดยกระทรวงเกษตรฯ จะเป็นผู้ดำเนินการหลักในการประสานความร่วมมือ MOU ดังกล่าว และหลังจากนั้นจะขยายผลการดำเนินโครงการไปยังกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ Young Smart Farmer กลุ่มวิสาหกิจที่มีศักยภาพในการผลิตพืชเศรษฐกิจชนิดต่างๆ ที่เหมาะสมกับพื้นที่ ในระยะต่อไป

เลขาธิการ สศก. กล่าวทิ้งท้ายว่า ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะยังคงขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตร อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งพัฒนาและแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรอย่างจริงจัง ควบคู่กับการทำเกษตรสมัยใหม่  ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และการใช้ประโยชน์จากข้อมูล Big data และ Agri – Map Online  เพื่อให้เกษตรกรมีการวางแผนและเลือกเพาะปลูกพืชได้อย่างเหมาะสม ได้ผลตอบแทนสูง  อีกทั้งยังสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยยังคงเน้นการเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ผ่านตลาดออนไลน์เพื่อให้สอดรับยุค New Normal เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน GDP ภาคเกษตรเติบโต อันเป็นการเสริมสร้างศักยภาพ และความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตร ตลอดจนภาคเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างมั่นคง และมีเสถียรภาพร่วมกัน

……………………………

ข้อมูล : ศูนย์สารสนเทศการเกษตร