ชป.ประชุมวางแผนรับมือฝนต่อเนื่อง

กรมชลประทาน พร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ หลังกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าจะมีฝนตกต่อเนื่องในสัปดาห์นี้

วันที่  20ต.ค.63 ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ ผ่านระบบ VDO Conference ไปยังผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมทรัพยากรน้ำ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รวมทั้งสำนักงานชลประทานเครือข่าย SWOC ทั้ง 17 แห่งทั่วประเทศ ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ อาคารหม่อมหลวงชูชาติ กำภู   กรมชลประทาน ถนนสามเสน

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ปัจจุบัน(20ต.ค63)อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำในอ่างฯ รวมกันทั้งสิ้น 45,405 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 60 ของความจุอ่างฯ  เป็นน้ำใช้การได้ประมาณ 21,474 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา(เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 12,201  ล้าน ลบ.ม หรือร้อยละ 49 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันประมาณ 5,505 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 30 ของปริมาณน้ำใช้การได้รวมกัน

ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า พายดุีเปรสชัน(พายุระดับ2)บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก จะทวีกำลังแรงขึ้น เป็นพายุโซนร้อน (พายุระดับ3) และจะเคลื่อนผ่าน ประเทศฟิลิปปินส์ลงทะเลจีนใต้ในช่วงวันที่ 20-21ต.ค.63 หลังจากนั้นจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งเวียดนามในช่วงวันที่ 23-24 ต.ค. 63 ลักษณะเช่นนี้จะทำให้เกิดฝนตกหนักในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคตะวันออกของประเทศไทย

จึงได้สั่งการให้สำนักงานชลประทานทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก เฝ้าระวังติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์ฝนตกหนักในช่วงนี้ไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ตามที่อุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ขอให้เร่งระบายน้ำเพื่อรองรับระดับน้ำที่จะเพิ่มขึ้น  โดยเน้นย้ำไปยังศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะswocทั่วประเทศ ให้ติดตามสถานการณ์น้ำและสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด พร้อมแจ้งสถานการณ์น้ำในพื้นที่ของตนมายังswocส่วนกลาง เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ในการบริหารจัดการน้ำ และแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งแจ้งขอรับการสนับสนุนเครื่องจักรเครื่องมือเสริมจากสำนักเครื่องจักรกล เพื่อให้การช่วยเหลือทำได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ขอให้ปฏิบัติตามข้อสั่งการของ พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ในสถานการณ์อุทกภัย คือ

1.ให้นำสถานการณ์อุทกภัยต่างๆ มาเป็นบทเรียนในการบริการจัดน้ำในครั้งต่อๆไป 2.การระบายน้ำออกจากพื้นที่ประสบภัย ต้องรวดเร็ว ลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด 3.พิจารณาหาพื้นที่เก็บกักน้ำ อาทิ แก้มลิง เพื่อเป็นพื้นที่หน่วงน้ำในช่วงน้ำหลาก สนับสนุนเกษตรทฤษฎีใหม่ 4.ปรับปรุงระบบชลประทานให้สอดคล้องกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป 5.ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รับทราบถึงแผนการดำเนินงานของภาครัฐ 6.ให้สำรวจความเสียหายของระบบสาธารณูปโภค รวมถึงอาคารชลประทานต่างๆ หลังน้ำลด ซ่อมแซมปรับปรุงให้กลับมาพร้อมใช้ดั่งเดิม