มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) จับมือ 7 ภาคี ติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ยกระดับการป้องกันอุทกภัยอย่างยั่งยืน

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองประธานกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย แถลงความคืบหน้าการดำเนินงานติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติฯ ในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ในพื้นที่ป่าต้นน้ำภายใต้ “โครงการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ เพื่อตรวจวัดข้อมูลภูมิอากาศ ปริมาณน้ำฝน และระดับน้ำ ในพื้นที่ป่าต้นน้ำ”

ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย กับภาคีเครือข่าย 7 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, กรมป่าไม้, กรมการปกครอง, กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองประธานกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิฯ กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการดังกล่าวว่า สืบเนื่องจากพระนโยบายในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา องค์ประธานกรรมการมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย

ทรงมีพระดำริให้มูลนิธิฯ ดำเนินโครงการนำร่องในการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ ฯ 14 จุด ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาอุทกภัยบ่อยครั้งที่จังหวัดน่านและจังหวัดสกลนคร ร่วมกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ในฐานะเครือข่ายของมูลนิธิฯ และให้จัดตั้งเครือข่ายเตือนภัยพิบัติชุมชนเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ขึ้น

ซึ่งปัจจุบันมีเครือข่ายทั้งสิ้น 20 ชุมชน เพื่ออบรมราษฎรอาสาสมัครในชุมชนที่มีความเสี่ยงในการเกิดอุทกภัยให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลสารสนเทศทรัพยากรน้ำ เพื่อการเฝ้าระวัง การเตือนภัย และการอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย

และได้ให้การสนับสนุนวิทยุสื่อสารแก่เครือข่ายเตือนภัยพิบัติชุมชนเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารในพื้นที่ที่สัญญาณโทรศัพท์มือถือยังไม่ครอบคลุมทั่วถึง ซึ่งจากการดำเนินโครงการนำร่องที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จอย่างดี

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา จึงทรงมีพระดำริให้มูลนิธิ ฯ ขยายผลการดำเนินโครงการนำร่องการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติฯ ในพื้นที่ป่าต้นน้ำให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ จำนวน 510 สถานี

โดยมูลนิธิฯ ได้ประสานงานกับภาคีเครือข่ายให้เข้ามาร่วมเป็นเครือข่ายของมูลนิธิฯ ในการดำเนินโครงการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติฯ ในพื้นที่ป่าต้นน้ำทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐ ส่วนราชการ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม

ทั้งในมิติด้านกฎหมาย งบประมาณ การบริหารจัดการ การใช้ประโยชน์ และการสร้างความร่วมมือกับชุมชนในพื้นที่ เพื่อการเฝ้าระวังป้องกันภัยพิบัติ การบริหารจัดการน้ำในชุมชนและการป้องกันความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2563 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จไปทรงเปิด สถานีโทรมาตรอัตโนมัติเพื่อตรวจวัดข้อมูลภูมิอากาศ ปริมาณน้ำฝน และระดับน้ำในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ณ ศูนย์สาธิตการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝก ด้านป่าไม้ที่ 1 ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563

โครงการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติฯ ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่มูลนิธิฯ ได้ร่วมกับเครือข่ายดำเนินการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติฯ ในพื้นที่ป่าต้นน้ำ ปัจจุบันได้ดำเนินการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ ฯ ในพื้นที่ภาคเหนือ ไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 80 สถานี ครอบคลุมพื้นที่ 11 จังหวัด (เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน ตาก สุโขทัย และอุทัยธานี) โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติฯ จากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า งานบรรเทาทุกข์ภัยพิบัติมีมากขึ้นเมื่อเทียบจากอดีต พื้นที่เสี่ยงจะท่วมซ้ำซาก การเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต เฝ้าระวังภัย จะลดความสูญเสีย ซึ่งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติฯ ทำหน้าที่เป็นตัววัดข้อมูลสภาพอากาศ ปริมาณน้ำฝน ระดับน้ำ และส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย 4G ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ สสน. เพื่อประมวลผลข้อมูล

จากนั้นจะส่งข้อมูลปริมาณน้ำฝนผ่านข้อความสั้นหรือ SMS ไปยังเครือข่ายชุมชน และแอปพลิเคชัน ThaiWater หากปริมาณน้ำฝนมีระดับสูงกว่าปกติจะส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังวิทยุสื่อสารของเครือข่ายชุมชนมูลนิธิฯ ทั่วประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจากอุทกภัย หรือเสียหายให้น้อยที่สุด โดยตามแผนจะดำเนินการสำรวจและติดตั้งให้ครบ 510 สถานีภายใน 1 ปีครึ่ง

……………………………………………….