อ.อ.ป. จัดโปรโมชั่นกระตุ้นเศรษฐกิจ เอาใจคนรัก “เฟอร์นิเจอร์ไม้” ผ่อน 0% นาน 10 เดือน ให้กับ ข้าราชการ – รัฐวิสาหกิจ

               นางพรเพ็ญ วรวิลาวัณย์ ผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เปิดเผยว่า การปลูกสร้างและการใช้ประโยชน์จากสวนป่าเศรษฐกิจสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการฟื้นฟูระบบนิเวศ การดูดซับก๊าซเรือนกระจก และการสร้างรายได้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายด้านการเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจให้ได้ร้อยละ 15 ของพื้นที่ประเทศ และในฐานะที่ อ.อ.ป. เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการดำเนินงานด้านการปลูกสร้างสวนป่าเศรษฐกิจ และดำเนินการประกอบธุรกิจในด้านการอุตสาหกรรมไม้มาโดยตลอด กอปรกับเพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน (Sustainable Forest Management: SFM) ส่งเสริมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการทำลายป่าธรรมชาติ ตลอดจนกระตุ้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศต่อไปในอนาคต

เบื้องต้น อ.อ.ป. มองเห็นว่าบุคลากรภาครัฐสามารถซื้อผลิตภัณฑ์และเฟอร์นิเจอร์ไม้สักที่มีคุณภาพเป็นของตนเอง ในราคาที่ยุติธรรม จึงได้จัดทำ “โครงการซื้อผลิตภัณฑ์และเฟอร์นิเจอร์เงินผ่อนปลอดดอกเบี้ยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (บุคคลภาครัฐ)” เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้  ปีที่ 71 และเพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อผลิตภัณฑ์และเฟอร์นิเจอร์ไม้สักให้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถผ่อนชำระได้แบบปลอดดอกเบี้ยนานถึง 10 เดือน

นางพรเพ็ญฯ ยังกล่าวอีกว่า คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ต้องเป็นข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงาน/เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เรียกชื่อแบบอื่น และลูกจ้างประจำ ผู้ซื้อต้องมีอายุไม่เกิน 59 ปี ยกเว้นข้าราชการตุลาการ อัยการหรืออื่นๆ ที่มีอายุราชการมากกว่า 60 ปี สามารถใช้สิทธิ์ในการซื้อก่อนเกษียณอายุ 1 ปี ทั้งนี้ หน่วยงานต้นสังกัดของผู้ซื้อจะเป็นผู้หักเงินเดือนของผู้ซื้อแต่ละเดือนให้กับ อ.อ.ป. จนครบตามราคาสินค้า ซึ่งบุคคลที่จะค้ำประกันให้กับผู้ซื้อจะต้องเป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า หรือผู้ที่มีเงินเดือนมากกว่าเท่านั้น ซึ่งการซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่ละครั้ง ผู้ซื้อสามารถซื้อได้อย่างไม่จำกัดวงเงินแต่ต้องได้รับการพิจาณาอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดก่อน

ในปี 2561 นี้ อ.อ.ป. ได้เริ่มดำเนินงานตามแผนของโครงการฯ แล้ว โดยได้นำร่องกับหน่วยงานภาครัฐในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน และคาดว่าจะขยายผลไปต่างจังหวัดเป็นลำดับถัดไป