‘กรมเจรจาฯ’ ปลื้ม ไม้ดอกไม้ประดับไทยทำตลาดอาเซียนโต สวนวิกฤตโควิด-19 เชียร์ใช้ประโยชน์จาก FTA ช่วยเพิ่มแต้มต่อส่งออก

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กางสถิติ พบไม้ดอกไม้ประดับไทยยังไปได้สวยในตลาดอาเซียน แม้เผชิญวิกฤตไวรัสโควิด-19 ชี้ ตลาดมาเลเซียครองแชมป์ขยายตัวสูงสุดไตรมาสแรก ร้อยละ 224 เชื่อไม้ดอกไม้ประดับไทยมีศักยภาพเติบโตได้ แนะเร่งใช้เอฟทีเอช่วยเพิ่มแต้มต่อส่งออกไปตลาดโลก

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการไม้ดอกไม้ประดับในตลาดโลกชะลอตัวลง แต่กลับทำให้การส่งออกของไทยไปตลาดอาเซียนเติบโตได้ดี โดยการส่งออกช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 มีมูลค่ากว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวถึงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับสินค้าส่งออกที่ขยายตัวโดดเด่น อาทิ ดอกไม้กลุ่มทิวลิป แกลดิโอลัส และยิปโซ ขยายตัวถึงร้อยละ 353 มูลค่าส่งออก 2.4 แสนเหรียญสหรัฐ ไม้ประดับประเภทมอสและไลเคน ขยายตัวร้อยละ 97 มูลค่าส่งออก 3.6 แสนเหรียญสหรัฐ ขณะที่ดอกกล้วยไม้ที่มีสัดส่วนการส่งออกมากที่สุด ก็ยังคงขยายตัวได้ดีเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 มีมูลค่าส่งออก 3.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนตลาดอาเซียนที่ขยายตัวมากที่สุด คือ มาเลเซีย ขยายตัวร้อยละ 224 รองลงมา คือ เมียนมา ขยายตัวร้อยละ 106 กัมพูชา ขยายตัวร้อยละ 47 และสิงคโปร์ ขยายตัวร้อยละ 35

สำหรับความตกลงการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ ที่ไทยมีกับประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้สินค้าไม้ดอกไม้ประดับของไทยเติบโตได้ดีในตลาดของประเทศสมาชิก เพราะมีข้อได้เปรียบจากการที่ไทยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 9 ประเทศแล้ว และเมื่อเปรียบเทียบการส่งออกไม้ดอกไม้ประดับของไทยไปอาเซียนก่อนที่จะมีเอฟทีเอ (ปี 2535) กับปัจจุบัน (ปี 2562) พบว่าอัตราการขยายตัวของการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะการส่งออกดอกกล้วยไม้ พบว่าขยายตัวสูงถึงร้อยละ 11,900 หรือเฉลี่ยร้อยละ 441 ต่อปี ทั้งนี้ ปัจจุบัน 17 ประเทศคู่เอฟทีเอ ได้แก่ สมาชิกอาเซียน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี และเปรู ได้ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าในสินค้าไม้ดอกไม้ประดับจากไทยแล้ว เหลือเพียงอินเดียที่คงภาษีนำเข้าสินค้าไม้ดอกไม้ประดับบางรายการไว้

“ในระยะยาวสินค้าไม้ดอกไม้ประดับของไทยจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอีก เพราะมีข้อได้เปรียบจากภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์ สภาพภูมิอากาศที่ดี และเทคโนโลยีการเพาะปลูกที่มีมาตรฐาน รวมทั้งมีนักปรับปรุงพันธุ์ที่มีความสามารถในการพัฒนาพันธุ์ ทำให้มีไม้ดอกไม้ประดับพันธุ์ใหม่ๆ ที่สวยงามและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก จึงอยากเชิญชวนให้เกษตรกรและผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอที่ไทยมีอยู่ เพิ่มแต้มต่อให้สินค้าไม้ดอกไม้ประดับของไทยในตลาดโลก” นางอรมน กล่าว

ปัจจุบันอาเซียนเป็นตลาดส่งออกไม้ดอกไม้ประดับอันดับที่ 3 ของไทย (รองจากสหรัฐฯ และญี่ปุ่น) มีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 16 โดยในปี 2562 มีมูลค่าส่งออกสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ คือ ดอกกล้วยไม้ สัดส่วนร้อยละ 61 ไม้ใบประดับ สัดส่วนร้อยละ 11 และต้นกล้วยไม้ สัดส่วนร้อยละ 5 ตลาดส่งออกสำคัญในอาเซียน เช่น เวียดนาม สัดส่วนร้อยละ 61 สิงคโปร์ สัดส่วนร้อยละ 14 และฟิลิปปินส์ สัดส่วนร้อยละ 6 เป็นต้น


กรมเจรจาการค้าระหว่าประเทศ

กระทรวงพาณิชย์

8 พฤษภาคม 2563