สธ. ไม่นิ่งนอนใจ เร่งกระจายหน้ากากอนามัยให้บุคคลากรทางการแพทย์

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้รับมอบหมายจากกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และผู้ผลิตหน้ากากอนามัยเร่งกระจายสินค้าให้กับหน่วยงานสาธารณสุข 700,000 ชิ้นต่อวัน พร้อมแนะประชาชนหากเจ็บป่วยไอ จามควรใส่หน้ากากอนามัย ถ้าประชาชนทั่วไปไม่ควรใส่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์

นายแพทย์สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ที่เกิดการระบาดขึ้นในประเทศต่าง ๆ นั้น ทำให้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์เป็นที่ต้องการของทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย หรือแม้กระทั่งประชาชนทั่วไป ทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ด้วยเหตุนี้ กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงสาธารณสุขโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รวมถึงผู้ผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทย ได้ประชุมร่วมกันเพื่อหาข้อตกลงในการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศไทยซึ่งมีอัตราการผลิต1.2ล้านชิ้นต่อวัน ในเบื้องต้นได้มีการกระจายสินค้าให้กับหน่วยงานในระบบสาธารณสุข 700,000 ชิ้นต่อวัน ได้แก่ 1. สถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ โรงพยาบาล ในสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค และกรมอื่น ๆ ได้รับการจัดสรร 400,000 ชิ้นต่อวัน 2. หน่วยงานนอกกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ โรงพยาบาลค่าย โรงพยาบาลตำรวจ กาชาด โรงพยาบาลรัฐวิสาหกิจ หรือโรงพยาบาลเทศบาลต่าง ๆ เป็นต้น ได้รับจัดสรรจำนวน 30,000 ชิ้นต่อวัน ทั้ง2กลุ่มนี้มีองค์การเภสัชกรรมช่วยในการกระจายสินค้า 3. โรงพยาบาลในสังกัดมหาวิทยาลัยและคณะทันตแพทย์ได้รับการจัดสรร 60,000 ชิ้นต่อวัน โดยทาง UHosNet ช่วยในการจัดสรร 4. โรงพยาบาลเอกชนและคลินิกต่าง ๆ ได้รับการจัดสรร 140,000 ชิ้นต่อวัน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพและสมาคมโรงพยาบาลเอกชนช่วยจัดสรร 5. โรงพยาบาล ในสังกัดกรุงเทพมหานคร ได้รับการจัดสรร 70,000 ชิ้นต่อวัน โดยสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานครเป็น ผู้จัดสรร ทั้งนี้ หากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 มีการเปลี่ยนแปลงจะดำเนินการจัดสรรให้เป็นไปตามความเหมาะสมอีกครั้ง

รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขเล็งเห็นความสำคัญของการจัดหา หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ให้มีความเหมาะสมและเพียงพอแก่บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นด่านหน้าที่จำเป็นต้องให้การดูแลรักษาผู้ป่วย นับว่าเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญสูงสุดในสถานการณ์การระบาดขณะนี้ รวมถึงผู้ป่วยที่มาติดต่อกับโรงพยาบาลซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง นอกจากนั้นหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ยังต้องใช้ใน การทำหัตถการอื่นด้วยเช่น การผ่าตัด การทำฟัน เป็นต้น การร่วมมือร่วมใจกันจะทำให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยดี