สบส. รุดตรวจคลินิกย่านเพชรเกษม เตรียมฟันโทษหากพบมีเอี่ยวทำสาวดับคาห้องพัก

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ รุดสอบคลินิกเสริมความงาม ย่านเพชรเกษม หลังพบหญิงสาวเสียชีวิตในห้องพัก ย่านถนนเพชรเกษม โดยบุคคลใกล้ชิดเผยว่าผู้เสียชีวิตเพิ่งเข้ารับบริการฉีดสารเสริมความงามกับคลินิกแห่งหนึ่ง ย่านเพชรเกษม 81 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าการเสียชีวิตเกิดจากโรคประจำตัวหรือผลข้างเคียงจากการเสริมความงาม

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ณ อาคารกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า เมื่อตนได้ทราบว่ามีเกิดการเสียชีวิตซึ่งอาจจะมีสาเหตุจากบริการทางการแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐาน  จึงสั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่จากสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ และกองกฎหมาย เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่าคลินิกดังกล่าว ตั้งอยู่บริเวณ ถนนเพชรเกษม ซอย 81 แขวงและเขตบางแค มีการขออนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ให้บริการเสริมความงาม อาทิ การฉีดสารเสริมความงาม ร้อยไหม ฯลฯ แต่ขณะเวลาที่เปิดทำการ แพทย์ผู้ดำเนินการไม่ได้อยู่ให้บริการ แม้ว่ามีแพทย์ท่านอื่นให้บริการแต่ไม่ได้ยื่นหนังสือแสดวงความจำนงเป็นผู้ให้บริการในคลินิก (สพ.6) ผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการสถานพยาบาลจึงถือว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2559 ฐานไม่จัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลตามวิชาชีพและจำนวนที่กำหนดใน กฎกระทรวงตลอดเวลาทำการ และไม่จัดให้มีและรายงานหลักฐานเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลและ ผู้ป่วย และเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดใน กฎกระทรวง มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมนำข้อมูลที่ได้เสนอให้แพทยสภาตรวจสอบทางมาตรฐานวิชาชีพ ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตต้องรอผลการชันสูตรพลิกศพจากมหาวิทยาลัยก่อน

ประการสำคัญ เพื่อให้เกิดความกระจ่างต่อสาเหตุการเสียชีวิต พนักงานเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบประเด็นสำคัญอีก 1 ประเด็น คือ ในช่วงเวลาเกิดเหตุ ผู้ให้บริการฉีดสารเสริมความงามแก่ผู้เสียชีวิตเป็นแพทย์ที่มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หากพนักงานเจ้าหน้าที่ฯพบว่ามีการนำบุคคลอื่นที่มิใช่แพทย์มาให้บริการในคลินิก กรม สบส.จะดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายต่อทั้งตัวหมอเถื่อนและผู้ดำเนินการสถานพยาบาล เพิ่มอีก 2 ข้อหา ประกอบด้วย 1.ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ขึ้นทะเบียนและรับอนุญาต ถือว่าเป็นหมอเถื่อน มีความผิดตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 2. ผู้ดำเนินการปล่อยให้บุคคลอื่นที่มิใช่แพทย์ทำการประกอบวิชาชีพเวชกรรมในสถานพยาบาล มีความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และในส่วนของแพทย์จะส่งเรื่องให้แพทยสภาพิจารณาดำเนินการ

ด้านทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวต่อว่า ที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) หรือที่เรียกกันจนติดปากว่าโบท๊อกซ์ (Botox) เป็นสารสกัดจากจุลินทรีย์ที่นิยมใช้ในการเสริมความงาม ลดริ้วรอยบนใบหน้า หลังฉีดจะอยู่ได้นาน 4-6 เดือน ซึ่งยาชนิดนี้จัดเป็นยาอันตราย มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงตั้งแต่ปวดศีรษะ คลื่นไส้ กล้ามเนื้อเปลือกตาหย่อน จนถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรง ร้ายแรงที่สุด หากฉีดผิดขนาด อาจทำให้เสียชีวิตได้ จากการหยุดหายใจ กระบังลมไม่ทำงาน ซึ่งการฉีดต้องอยู่ภายใต้การดูแลใกล้ชิดจากแพทย์และต้องทำให้สถานที่มีเครื่องมือพร้อมรับเหตุฉุกเฉินได้   ซึ่งทาง อย.เองก็ได้มีการออกประกาศในการควบคุมกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยประชาชน และกำหนดให้ผู้นำเข้า ผู้ได้รับอนุญาตผลิตยาแผนปัจจุบันทุกราย ส่งแผนการจัดการความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์