ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.65 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.65 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.46 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้สำเร็จและเป็นการอ่อนค่ามากกว่ากรอบบนของสัปดาห์ที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า ซึ่งเรามองว่า เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซน 31.40 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ (แกว่งตัวในกรอบ 31.40-31.70 บาทต่อดอลลาร์) หลัง ราคาทองคำ (XAUUSD) เผชิญแรงเทขายอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับบรรดาแร่โลหะมีค่า (Precious Metals) อื่นๆ จนราคาทองคำดิ่งลงเกือบ -3% สู่ระดับ 4,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) และแรงขายเงินดอลลาร์จากผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้ส่งออก ที่รอเงินบาทอ่อนค่าเหนือโซน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ รวมถึงการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ของเงินดอลลาร์

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันบ้าง ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2025 โดยเฉพาะแรงขายหุ้นธีม AI/Semiconductor ที่ปรับตัวได้ดีในปีนี้ อาทิ Nvidia -1.2% ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.35% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ลดลง -0.50%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.09% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor และหุ้นกลุ่มสินค้าบริโภค ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากแรงขายทำกำไรบรรดาหุ้นกลุ่มการเงินที่ปรับตัวขึ้นได้ดีในปีนี้

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แถวโซน 4.10% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้พอสมควรในช่วงต้นปี 2026 ทั้งนี้ เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways โดยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นบ้าง หากบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หรือผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ซึ่งการปรับตัวสูงขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเปิดโอกาสให้บรรดานักลงทุนสามารถทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวสหรัฐฯ ได้ โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็น 1. แนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ) 2. แนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และ 3. บรรยากาศในตลาดการเงิน

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อีกทั้งปริมาณการทำธุรกรรมในช่วงปลายปีก็เบาบางลงพอสมควร ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทรงตัวแถวโซน 98 จุด (ดัชนีเงินดอลลาร์ DXY แกว่งตัวแถวโซน 97.9-98.2 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ผู้เล่นในตลาดจะยังคงมุมมองเดิมต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่วนเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็แกว่งตัว Sideways แต่ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) ดิ่งลงหนักกว่า -3% ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด สอดคล้องกับการเทขายทำกำไรบรรดาแร่โลหะมีค่า (Precious Metals) อื่นๆ ทั้งนี้ ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนบ้างจากแรงซื้อของผู้เล่นในตลาดบางส่วนและจังหวะการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ หนุนให้ ราคาทองคำสามารถทรงตัวเหนือโซน 4,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานการประชุม FOMC ของเฟดล่าสุด (ทยอยรับรู้ในช่วงราว 02.00 น. ของวันที่ 31 ธันวาคม นี้ ตามเวลาประเทศไทย) รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีภาคธุรกิจของบรรดาเฟดสาขาต่างๆ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดในระยะข้างหน้า

และเนื่องจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจจะมีไม่มาก ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลา และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา หลังทั้งสองฝ่ายมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) จะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนถึง ตลอดช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 แม้ว่าในช่วงสองวันนี้ โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทจะอ่อนกำลังลงชัดเจน หลังเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง “เร็ว แรง” ตามการปรับตัวลดลงหนักของราคาทองคำ (ตามที่เราได้ระบุมาตลอดว่า การปรับฐานของราคาทองคำจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้) ซึ่งยังคงสะท้อนถึง ความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำและเงินบาทที่อยู่ในระดับสูงอยู่ ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของราคาทองคำยังคงส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาทและความผันผวนของค่าเงินบาท ทำให้เราขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงต้องจับตาการเคลื่อนไหวของราคาทองคำอย่างใกล้ชิด จนกว่าจะเห็นผลชัดเจนของมาตรการลดทอนผลกระทบจากราคาทองคำที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศในช่วงที่ผ่านมา (ควรจะต้องเห็น Correlation และ Beta ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ปัจจุบัน ยังอยู่ในระดับสูงไม่ต่างจากค่าเฉลี่ยในรอบ 1 ปี มากนัก)

นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาททะลุแนวต้าน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ในวันก่อนหน้า ทำให้ หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following ใน Time Frame Daily (กราฟรายวัน) นั้น ควรจะต้องประเมินว่า เงินบาทอาจพลิกกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways เป็นอย่างน้อย หรืออาจอ่อนค่าลงได้บ้าง ในระยะสั้น โดยเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านถัดไปในช่วง 31.80-32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ หากราคาทองคำปรับตัวลดลงแรงอย่างต่อเนื่อง (Beta กับเงินบาท ในช่วงที่ราคาทองคำลดลงจะอยู่ที่ราว -0.23) แต่เราจะยังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 ตราบใดที่ เงินบาทไม่ได้กลับมาอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นการพลิกกลับเทรนด์ใน Time Frame Weekly (กราฟรายสัปดาห์)

และที่สำคัญ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก็ถือว่าเป็นช่วงหยุดยาวทำให้ปริมาณธุรกรรมในตลาดการเงินเบาบาง ทว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวัง ว่า เงินบาทเสี่ยงเคลื่อนไหว Two-way Risk หรือพร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง ได้พอสมควร หามีโฟลว์ธุรกรรมด้านใดด้านหนึ่งเข้ามากระทบตลาด โดยเฉพาะในช่วงวันทำการสุดท้ายของตลาดการเงินไทย

อนึ่ง เราขอเน้นย้ำว่า การจะเห็นเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้อย่างต่อเนื่องนั้น จะต้องเห็น 1. การปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาดมาก 2. การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ หรือ ราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานใหม่ (กำลังเกิดขึ้นอยู่ล่าสุด) นอกจากนี้ หากราคาทองคำเร่งตัวสูงขึ้น ก็สามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน ผ่านโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ หรือ Fear of Missing Out Buying Flows (FOMO Buy) และ 3. ปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งควรจะต้องเห็นความเสี่ยงที่รุนแรงต่อปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว การส่งออก หรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ นักลงทุนต่างชาติแห่เทขายสินทรัพย์ไทย เช่น วิกฤตการเมือง (เรามองว่า ถ้าเป็นเพียงความวุ่นวายการเมืองอาจไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญได้)

เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.50-31.80 บาท/ดอลลาร์