จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมจำเลยทั้ง 2 ราย ในความผิดฐานความผิดฉ้อโกง ฉ้อโกงประชาชน โดยกล่าวหาว่าจำเลยทั้ง 2 กับพวกร่วมกันโฆษณาชักชวนหลอกลวงประชาชนทั่วไปว่ามีโครงการขุดลอกแก้มลิงและขุดลอกคลองในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวนหลายโครงการ โดยหลอกลวงให้ผู้เสียหายจ่ายเงินชำระค่าแบบโครงการเข้าร่วมประชุม ส่งเอกสารและจัดทำสัญญาจ้างงานโครงการพัฒนาและสัญญากิจการค้าร่วม เพื่อให้ผู้เสียหายเป็นผู้ประมูลโครงการ โดยได้มีข้อตกลงว่าหากผู้เสียหายเป็นผู้ประมูลโครงการได้แล้วจะได้รับผลตอบแทนเป็นงบประมาณมูลค่าตามแต่ละโครงการที่ประมูลได้ ซึ่งเป็นความเท็จ
คดีนี้ถึงที่สุดที่ศาลชั้นต้น โดยศาลพิพากษายกฟ้อง จำเลยทั้ง 2 ราย เนื่องจากพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้ง 2 ราย ทราบข้อมูลจากผู้เสียหายว่ามีโครงการขุดลอกหนองน้ำจึงได้ชักชวนกันไปฟังรายละเอียดโครงการและเคยเดินทางไปดูพื้นที่หน้างานพร้อมกับผู้รับเหมาอื่น แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้ง 2 ราย ก็เชื่อว่ามีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำจริง อีกทั้ง พยานหลักฐานโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้ง 2 แสดงตัวหรือ ออกตัวเพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้จำเลยอื่น และจำเลยอื่นก็ไม่เคยให้การว่าจำเลยทั้ง 2 รายนี้ เป็นผู้ร่วมกระทำความผิด โดยผลประโยชน์หรือส่วนแบ่ง ก็ไม่เคยได้รับ ซึ่งกรณีนี้น่าเห็นใจ ที่จำเลยทั้ง 2 ท่านเป็นข้าราชการเกษียณอายุแล้ว แต่กลับต้องมาตกเป็นแพะในคดีอาญา ต้องมาถูกจำคุกหลายปี
ดังนั้น การที่จำเลยต้องถูกคุมขัง และต่อมาศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิด จึงถือเป็นแพะในคดีอาญาที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพจะต้องให้ความช่วยเหลือ เยียวยาตามกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 คณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ซึ่งมี นางสาวรวิวรรณ จตุรพิธพร รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน และ นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ ได้มีการประชุมครั้งที่ 11/2568 พิจารณาให้ความช่วยเหลือตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559) แก่ “แพะ” ทั้ง 2 ราย รายละ 295,500 บาท รวมเป็นเงิน 591,000 บาท
“กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมยืนเคียงข้าง “ผู้บริสุทธิ์” และจะไม่ทอดทิ้งจำเลยหรือแพะทุกรายที่ศาลสุดท้ายตัดสินยกฟ้อง” ทั้งนี้ สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ ส่วนกลาง (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) และส่วนภูมิภาค (สำนักงานยุติธรรมจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ) หรือติดต่อที่ สายด่วนยุติธรรม โทร. 1111 กด 77 ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง”



