กรมประมงชี้แจงกรณีที่สื่อมวลชนเผยแพร่ข่าวว่าเหตุอุทกภัยในจังหวัดสตูล ทำให้เต่าที่อยู่ในความดูแลของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดสตูล ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลกำแพง อำเภอละงู จังหวัดสตูล ประมาณ 5,000 ตัว ตายไปกว่าครึ่งนั้น ว่าเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง

นายสุวัฐน์ วงศ์สุวัฒน์ รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากที่เกิดเหตุอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสตูล ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 – 28 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งนางฐิติพร หลาวประเสริฐ อธิบดีกรมประมง ได้มอบหมายให้ลงพื้นที่ติดตามเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดสตูล ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมยานพาหนะเข้าช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัย และภายหลังการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ คณะจึงได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายของหน่วยงานในสังกัดกรมประมง ซึ่งเหตุอุทกภัยครั้งนี้ ได้ส่งผลให้หน่วยงานในสังกัด ได้แก่ 1. ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลสตูล ได้รับความเสียหายในบริเวณบ้านพักเจ้าหน้าที่ 2. ศูนย์บริหารจัดการด่านตรวจประมงเขต 9 (สตูล) ได้รับความเสียหายในส่วนของรั้วสำนักงาน และ 3. ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดสตูล ได้รับความเสียหายมากที่สุด โดยเฉพาะบริเวณอาคารพัสดุ บ้านพักเจ้าหน้าที่ โรงเพาะฟัก ห้องปฏิบัติการ และบ่อเต่ากระอาน ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในโครงการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดสตูล

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดสตูล ได้ดำเนินการตามแผนเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัย ทั้งการอพยพสัตว์น้ำขึ้นที่สูง การป้องกันสัตว์น้ำหลุดรอด การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ และการนำยานพาหนะไปจอดในพื้นที่ปลอดภัย แต่จากระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า 2.2 เมตร สูงสุดในรอบ 50 ปี ส่งผลให้บ่อปูนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหลายชนิดได้รับความเสียหาย และเมื่อระดับน้ำสูงเกินกว่าตระแกรงกั้น ทำให้เต่าถูกกระแสน้ำพัดออกจากบ่อ และบางส่วนถูกกระแสน้ำเชี่ยวพัดติดกับตะแกรงไม่สามารถขึ้นมาหายใจและตายลงในที่สุด โดยในส่วนของข้อมูลจำนวนเต่าที่ได้รับผลกระทบ ตรวจสอบเบื้องต้น ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 พบว่า ก่อนน้ำท่วม : จำนวนเต่ามีชีวิตทั้งหมด 1,789 ตัว ซากเต่า 189 ซาก และหลังน้ำท่วม : เมื่อระดับน้ำลดลง ได้มีการตรวจนับ พบ เต่ามีชีวิต 271 ตัว ซากเต่าที่ตาย 23 ซาก อย่างไรก็ตาม ยังมีพื้นที่บ่อบางส่วนที่ยังมีน้ำท่วมขังอยู่ หากเมื่อระดับน้ำลดลงแล้ว จะมีการสำรวจจำนวนที่แน่ชัดเพื่อสรุปจำนวนเต่าที่หายไปอีกครั้ง
เบื้องต้นทางศูนย์ฯ ได้วางแนวทางการฟื้นฟูพันธุ์เต่าไว้ 3 ระยะ ดังนี้
1) มาตรการฟื้นฟูหลังน้ำลด เร่งสำรวจความเสียหายและสำรวจตรวจนับจำนวนเต่าที่รอดชีวิตอย่างละเอียด อีกทั้งติดตามรวบรวมเต่าที่หลุดลอดออกจากบ่อ โดยประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนช่วยแจ้งเมื่อพบเต่าหลงทาง พร้อมจัดชุดเจ้าหน้าที่ออกสำรวจรอบชุมชนริมคลองละงูอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี (หากพบเห็นหรือจับเต่าได้สามารถประสานแจ้งเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ มารับหรือนำเต่าที่จับได้มาส่งมอบที่ศูนย์ฯ เนื่องจากเต่าเป็นสัตว์คุ้มครองตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562)
2) มาตรการฟื้นฟูและการจัดการพ่อแม่พันธุ์ โดยจะทำการรวบรวมพ่อแม่พันธุ์เต่าที่รอดชีวิตจากทั้งจากในบ่อเพาะเลี้ยงเดิม (เต่าของศูนย์ฯ ที่เป็นพ่อแม่พันธุ์จะฝังไมโครชิป ที่ขาด้านซ้ายตรวจสอบได้) และที่พบในธรรมชาติกลับคืนสู่ศูนย์ฯ เพื่อนำมาเพาะขยายพันธุ์ เนื่องจากเต่าสามารถสืบพันธุ์วางไข่ได้เพียงปีละ 1 ครั้ง ในช่วงเดือนกันยายน – ธันวาคม และจะวางไข่ช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ของปีถัดไป ซึ่งแม่เต่าจะให้ไข่ครั้งละประมาณ 6 – 31 ฟอง จึงคาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 3 – 4 ปี กว่าประชากรเต่าจะกลับคืนเท่าเดิมก่อนเกิดอุทกภัย
3) การเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยในอนาคต จะมีการจัดทำบ่อสำรอง (Backup Pond) ในพื้นที่บ่อดิน เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายในภาวะฉุกเฉิน และประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่เพื่อรับมือกับสถานการณ์ในสภาวะวิกฤต
รองอธิบดีฯ กล่าวในตอนท้ายว่า กรมประมงจะเดินหน้าฟื้นฟูประชากรเต่าอย่างเต็มกำลัง ทั้งการสำรวจความเสียหาย การรวบรวมเต่าที่หลุดลอดออกจากพื้นที่ การฟื้นฟูพ่อแม่พันธุ์ และการเพาะขยายประชากรทดแทนพร้อมยกระดับระบบป้องกันน้ำท่วมและแผนรองรับในอนาคต เพื่อปกป้องทรัพยากรเต่าของจังหวัดสตูลให้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน และขอเป็นกำลังใจให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ พร้อมยืนยันว่ากรมประมงจะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ













