
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 เวลา 15.00 น. นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมวอร์รูมมาตรการให้ความช่วยเหลือกรณีเกิดอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยมี นางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวบุณยวีร์ ไขว้พันธุ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ว่าที่ร้อยตรี สมศักดิ์ พรหมดำ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน นายสิบหมื่นชัย โพธิสินธุ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมด้วย เพื่อประเมินสถานการณ์ล่าสุดและกำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วนและครอบคลุมทุกมิติ ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน

นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้ส่งผลกระทบทั้งต่อประชาชน ครัวเรือน สถานประกอบการ และแรงงานจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องตั้ง “War room กระทรวงแรงงาน” เพื่อเป็นศูนย์สั่งการกลางในการรวบรวมข้อมูล ประเมินความเสียหาย และประสานงานการช่วยเหลือให้รวดเร็วที่สุด โดยย้ำให้ทุกหน่วยงานทำงานเชิงรุก ลงพื้นที่ทันที ไม่รอให้มีคำสั่งซ้ำซ้อน เพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที
นางสาวตรีนุช กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการเร่งด่วนที่กระทรวงแรงงานสั่งเดินหน้า ประกอบด้วย การช่วยเหลือแรงงาน ลูกจ้าง และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ การให้จัดตั้งจุดบริการแรงงานเคลื่อนที่ในพื้นที่น้ำท่วม เพื่อรับเรื่องร้องเรียน การให้คำปรึกษาด้านสิทธิแรงงาน และช่วยประสานงานเรื่องการจ้างงานในกรณีสถานประกอบการได้รับความเสียหาย การสำรวจแรงงานที่ตกงานหรือไม่สามารถทำงานได้ชั่วคราว โดยมอบหมายกรมการจัดหางานจัดทีมลงพื้นที่สำรวจข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อเตรียมหางานทดแทนและสนับสนุนการฟื้นตัวหลังน้ำลด รวมถึงมาตรการรองรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบ และประสานสำนักงานประกันสังคมเร่งพิจารณาแนวทางช่วยเหลือ เช่น การผ่อนผัน การอำนวยความสะดวกด้านเอกสาร การตรวจสภาพนายจ้าง–ลูกจ้างในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่สามารถเข้าถึงได้ทันที สนับสนุนอุปกรณ์และกำลังคนด้านความปลอดภัยในการทำงาน ตลอดจนให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานลงพื้นที่ตรวจสอบความเสี่ยงในโรงงานหรือสถานประกอบการที่ถูกน้ำท่วม พร้อมให้คำแนะนำด้านความปลอดภัยเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ รวมถึงการเตรียมมาตรการฟื้นฟูหลังน้ำลด ทั้งด้านอาชีพ การฝึกทักษะใหม่ และการสนับสนุนแรงงานที่ต้องเริ่มประกอบอาชีพใหม่ ผ่านศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานในพื้นที่

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานย้ำว่า ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ สิ่งสำคัญคือการบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะแรงงานที่เป็นกลุ่มหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมสั่งการให้หน่วยงานทุกระดับประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อให้ความช่วยเหลือไม่ซ้ำซ้อนและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และยืนยันว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ “ไม่ทอดทิ้งแรงงานไทย และจะทำให้ประชาชนทุกคนกลับมามีงานทำโดยเร็วที่สุดหลังสถานการณ์คลี่คลาย”












