สืบเนื่องจากกรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินโครงการศึกษาการจัดการดิน ปุ๋ย และน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อปี 2564 ในพื้นที่ 10 จังหวัด เป็นการศึกษาการใช้ไบโอชาร์หรือถ่านชีวภาพจากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดิน พบว่า การผลิตไบโอชาร์สามารถลดปริมาณวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และนำไปใช้ประโยชน์ในการบำรุงดิน เกษตรกรสามารถวางแผนจัดการดิน ปุ๋ย และน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เกิดเป็นต้นแบบเกษตรกรและยังได้ขยายผลการใช้ถ่านชีวภาพดังกล่าวแก่เกษตรกรรายอื่น

นายครองศักดิ์ สงรักษา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการเกษตร ส่งเสริมให้เกษตรกรจัดการเศษวัสดุการเกษตรอย่างเหมาะสม โดยถ่ายทอดความรู้และสร้างทางเลือกในการจัดการเศษวัสดุการเกษตรให้เกิดมูลค่าเพิ่มและเป็นประโยชน์แก่เกษตรกร ซึ่งการผลิตและใช้ถ่านชีวภาพเป็นทางเลือกที่ช่วยจัดการพื้นที่เกษตรทั้งด้านดิน ปุ๋ย และน้ำให้แก่เกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดต้นทุน และเพิ่มรายได้จากผลผลิตการเกษตร ตัวอย่างกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตและใช้ถ่านชีวภาพหรือไบโอชาร์ สามารถลดต้นทุนค่าปุ๋ยลงได้ประมาณ 500 – 1800 บ./ไร่/ปี และลดความถี่ในการให้น้ำทำให้ประหยัดรายจ่ายค่าสูบน้ำรวมประมาณ 300 – 400 บ./เดือน ปัจจุบันได้ขยายผลการผลิตและใช้ถ่านชีวภาพโดยเกษตรกรจาก 10 จังหวัดต้นแบบเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกรเครือข่ายศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน (ศดปช.) และสมาชิกเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมการใช้ถ่านชีวภาพกับพืชมูลค่าสูงอย่างทุเรียนในจังหวัดชุมพรและบุรีรัมย์ด้วย

รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวถึงประโยชน์ของถ่านชีวภาพว่า ถ่านชีวภาพหรือไบโอชาร์ช่วยลดต้นทุนการเกษตรในการใส่ปุ๋ย บำรุงดิน และการให้น้ำแก่พืช เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นรูพรุนตามธรรมชาติ เมื่อบดใส่ลงดิน จะช่วยเพิ่มการระบายอากาศ เป็นที่อยู่และเพิ่มจุลินทรีย์ในดิน ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ ลดความเป็นกรด กักเก็บน้ำและดูดยึดธาตุอาหารจากปุ๋ยได้นานขึ้น จึงช่วยประหยัดรายจ่าย ลดต้นทุน และเพิ่มรายได้จากผลผลิต ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถผลิตถ่านชีวภาพหรือไบโอชาร์ได้ด้วยตนเอง
ขั้นตอนการผลิตถ่านชีวภาพ
1) นำวัสดุที่ต้องการจะเผาเป็นถ่านชีวภาพมาตากแดดให้แห้งหรือมีความชื้นน้อยที่สุด
2) ตัดให้มีขนาดความยาวไม่เกินขนาดความสูงของถัง กรณีที่วัสดุเป็นเนื้อไม้ เช่น ยูคาลิปตัส ไม้กระถิน ควรตัดไม้ให้มีความยาวไม่เกิน 20 – 30 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับขนาดของไม้ถ้าไม้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 2 นิ้ว ควรผ่าไม้ให้มีขนาดเล็กลง เช่น ผ่าไม้ให้เป็น 4 ส่วน หรือ 6 ส่วน โดยให้มีขนาดใกล้เคียงกัน นำไม้มาบรรจุในถังวางเรียงในแนวตั้งควรวางให้เต็มถังแล้วปิดฝาล็อกให้แน่น
3) ใช้ก้อนอิฐ หรือขาเหล็ก วางรองด้านล่างของตัวถัง ให้อยู่สูงจากพื้นประมาณ 3 เซนติเมตร เพื่อให้ความร้อนผ่านได้ซึ่งจะทำให้ถังที่บรรจุวัสดุได้รับความร้อนอย่างทั่วถึง
4) นำวัสดุบรรจุใส่ด้านในถังที่เป็นเตาเผาถ่านชีวภาพ
5) นำวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงมาใส่ให้รอบและพยายามเรียงไม้เชื้อเพลิงในแนวนอน ให้แน่น เพื่อให้ความร้อนกระจายในเตาเผาได้อย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ อัตราส่วนของเชื้อเพลิง กับน้ำหนักของวัสดุที่ใช้ผลิตถ่านชีวภาพอัตราส่วน 1:1
6) จุดไฟในเตาด้านบนของวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงให้รอบจนไฟติดเชื้อเพลิงหลักเสียก่อน ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที
7) ปิดฝาถังเตาเผา ขณะทำการเผาจะต้องสังเกตควันไฟที่ออกจากปล่อง ถ้าไม่มีควันลอยขึ้นหรือมีน้อยต้องแก้ไขโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ไฟดับ โดยสังเกตที่ช่องอากาศด้านล่าง ถ้ามีเศษไม้ปิดช่องอากาศ ต้องทำให้อากาศเข้าได้
8) โดยปกติการเผาถ่านชีวภาพ ใช้เวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุที่ใช้ เพื่อความปลอดภัยในการทำงานควรปล่อยให้เตาเผาเย็นในสภาพอากาศปกติก่อนที่จะเปิดฝาเตา
9) นำถังที่อยู่ด้านในออก จะได้ถ่านชีวภาพน้ำหนัก ประมาณ 1 ต่อ 3 ของน้ำหนักวัสดุก่อนทำการเผา
10) เนื่องจากถ่านชีวภาพมีน้ำหนักเบา การนำไปใช้ในพื้นที่การเกษตร ต้องทำให้ มีขนาดเล็กลง โดยการบดหรือย่อยให้มีขนาด ประมาณ 3 – 5 มิลลิเมตร เมื่อผสมคลุกเคล้ากับดินจะกระทำได้ง่ายและทำหน้าที่ดูดซับน้ำและธาตุอาหารได้เร็วขึ้น
กรมส่งเสริมการเกษตร จึงแนะนำให้พี่น้องเกษตรกรจัดการเศษวัสดุการเกษตรโดยการผลิตและใช้ถ่านชีวภาพหรือไบโอชาร์ ซึ่งมีขั้นตอนการผลิตได้เองในพื้นที่เพาะปลูก และเมื่อผลิตได้แล้วเกษตรกรสามารถนำถ่านดังกล่าวใส่กระสอบเพื่อบดและใส่ลงในแปลงปลูกพืชได้ในอัตราส่วนที่เหมาะสมที่ปริมาณ 2 ตัน/ไร่ ทั้งนี้ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่าน




