สทนช. ปิดศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ หลังประเมินพบว่าสถานการณ์กลับเป็นปกติ ระดมหน่วยงานทบทวนผลการดำเนินการที่ผ่านมา เพื่อเป็นแนวทางปรับปรุงพัฒนาการบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านต่อไป

วันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 นางพัชรวีร์ สุวรรณนิก รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 7/2568 โดยมี นายไพฑูรย์ มหาชื่นใจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ให้การต้อนรับ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ ได้แก่ จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุดรธานี จังหวัดเลย จังหวัดบึงกาฬ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมประชาสัมพันธ์ เป็นต้น เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมปทุมเทวาภิบาล ศาลากลางจังหวัดหนองคาย และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ภายหลังการประชุม คณะผู้ร่วมประชุมได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ ประกอบด้วย พื้นที่ลุ่มต่ำที่ได้รับผลกระทบอุทกภัยซ้ำซาก ณ วัดธาตุใต้ เทศบาลเมืองหนองคาย ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำโขง หากระดับน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันก็จะเกิดน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมชุมชนได้ง่าย จึงได้วางแนวทางเสริมเขื่อนหรือแนวกั้นริมตลิ่ง ติดตั้งเครื่องสูบระบายน้ำ รวมถึงการติดตั้งระบบตรวจวัดระดับน้ำและการแจ้งเตือนล่วงหน้า จากนั้นเดินทางไปรับฟังสถานการณ์น้ำ ณ สถานีอุทกวิทยาหนองคาย ซึ่งเป็นสถานีเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำของแม่น้ำโขง จังหวัดหนองคาย

รองเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า การประชุมคณะทำงานอำนวยการน้ำฯ พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งนี้ เป็นการประชุมเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ได้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 เพื่อรองรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมความพร้อมรับมือกับพายุที่เกิดขึ้นหลายครั้ง และส่งผลกระทบให้เกิดสถานการณ์น้ำหลากในพื้นที่โขงตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ พายุ “วิภา” พายุ “คาจิกิ” และพายุ “หนองฟ้า” เป็นต้น ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาศูนย์ฯ ได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ และลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและการเกิดอุทกภัยในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยมีผลการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ การบูรณาการข้อมูลด้านน้ำโดยใช้ระบบติดตามสถานการณ์น้ำของ สทนช. (National Thai Water) ร่วมกับข้อมูลของ สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจวางแผนการรับมือสถานการณ์วิกฤตน้ำในพื้นที่ วางแผนมาตรการในการรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยและวางแผนเตรียมการรับมือล่วงหน้า เช่น การจัดทำพนังกั้นน้ำชั่วคราว (กระสอบทราย) การติดตั้งเครื่องสูบน้ำ การเผยแพร่ข้อมูลด้านสถานการณ์น้ำให้กับทุกภาคส่วนในการเตรียมการรับมือล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสถานการณ์น้ำกับคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) และนำไปเป็นแนวปฏิบัติร่วมกับ สปป.ลาว ส่งผลให้ช่วยลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างมาก ซึ่งในที่ประชุมก็ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผลการดำเนินการ ปัญหาอุปสรรค และนำเสนอสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
“จากการที่หน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมกันประเมินสถานการณ์ฝนและสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือในวันนี้แล้ว พบว่า สถานการณ์ฝนกลับคืนสู่ปกติและกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว สถานการณ์น้ำท่าลดต่ำกว่าตลิ่งแล้วทุกแห่ง รวมถึงสถานการณ์แม่น้ำโขงก็เข้าสู่สภาวะปกติตลอดสาย ขณะที่สถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ปีนี้ สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ในปริมาณมากทุกแห่ง ได้แก่ เขื่อนห้วยหลวง (ปริมาณน้ำ 97% ของความจุเก็บกัก) เขื่อนน้ำอูน (ปริมาณน้ำ 92% ของความจุเก็บกัก) เขื่อนน้ำพุง (ปริมาณน้ำ 81% ของความจุเก็บกัก) และหนองหาน (ปริมาณน้ำ 96% ของความจุเก็บกัก) และแหล่งน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กก็สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้เกิน 80% เป็นส่วนใหญ่ ทำให้พื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือจะมีน้ำต้นทุนไว้ใช้อย่างเพียงพอสำหรับทุกกิจกรรมในช่วงฤดูแล้งนี้ ที่ประชุมจึงได้มีมติให้ปิดศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวในตอนท้าย






















