1. ปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.เชียงใหม่ (85 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.อุดรธานี (61 มม.) ภาคกลาง : จ.ลพบุรี (21 มม.) ภาคตะวันออก : จ.จันทบุรี (26 มม.) ภาคตะวันตก : จ.ประจวบคีรีขันธ์ (17 มม.) ภาคใต้ : จ.ชุมพร (25 มม.)
สภาพอากาศวันนี้ : ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก จันทบุรี และตราด
คาดการณ์ : ช่วงวันที่ 22 – 26 ก.ย. 68 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยบริเวณภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบริเวณภาคตะวันออก
2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 77% ของความจุเก็บกัก (62,030 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 65% (37,909 ล้าน ลบ.ม.)
3.ข่าวประชาสัมพันธ์ : วานนี้ (20 ก.ย. 68) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 6/2568 โดยมีผู้แทนจังหวัดในพื้นที่ ผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ และลุ่มน้ำชี รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมเขื่อนอุบลรัตน์ อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
การประชุมในวันนี้ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์ฝน โดยพบว่าระหว่างวันที่ 22 – 30 ก.ย. 68 แนวโน้มจะมีฝนเพิ่มมากขึ้นในหลายพื้นที่ เนื่องจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “มิแทก” (Mitag) ที่กำลังสลายตัว และพายุโซนร้อน “รากาซา” (Ragasa) ซึ่งแม้พายุจะไม่เข้าประเทศไทยโดยตรง แต่จะส่งผลให้เกิดร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทำให้มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและตามชายขอบของประเทศ ในขณะที่พื้นที่ตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็จะยังคงมีฝนต่อเนื่อง พร้อมทั้งร่วมกันประเมินสถานการณ์และแนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีมติที่ประชุม ดังนี้
1. ให้ สทนช. ภาค 3 ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เสนอต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำชี พิจารณาปรับแผนการระบายน้ำอ่างเก็บน้ำอุบลรัตน์ จากเดิมระบายน้ำอัตราไม่เกิน 25 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) ต่อวัน เป็นระบายน้ำอัตราไม่เกิน 35 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อให้การบริหารจัดการมีความประสิทธิภาพมากขึ้น โดยให้ดำเนินการแบบขั้นบันได ซึ่งจะต้องมีการประเมินผลกระทบด้านท้ายน้ำอย่างต่อเนื่อง และสอดรับกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในพื้นที่
2. ให้กรมชลประทานปรับลดการระบายน้ำของอ่างเก็บน้ำลำปาว ในช่วงเดือน ต.ค. 68 ซึ่งปัจจุบันได้ระบายน้ำในอัตราสูงสุด 13 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อช่วยชะลอมวลน้ำไม่ให้ไหลไปรวมกันที่ จ.อุบลราชธานีในช่วงเวลาวิกฤต
3. ให้กรมชลประทานดำเนินการปรับแผนเพิ่มการระบายน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยหลวงให้เต็มศักยภาพโดยต้องไม่เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ และเป็นการเพิ่มพื้นที่เก็บกักน้ำรองรับปริมาณฝนในช่วงถัดไป และเร่งดำเนินการติดตั้งเครื่องมือช่วยเร่งระบายน้ำ (กาลักน้ำ) พร้อมปรับแผนการระบายน้ำอ่างเก็บน้ำน้ำอูน โดยพิจารณาจากศักยภาพการระบายน้ำของแม่น้ำสงคราม ลำน้ำอูน ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำ
4. ให้กรมชลประทานเร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่คอขวดท้ายหนองหารที่ไม่สามารถระบายน้ำได้เต็มศักยภาพ พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมที่ประตูระบายน้ำหนองบึง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ
5. ให้ทุกหน่วยงานเร่งระบายน้ำให้ออกจากพื้นที่ให้ได้มากที่สุดในช่วงที่ปริมาณฝนและปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่ยังไม่มาก ประกอบกับการคาดการณ์ว่าระดับน้ำในแม่น้ำโขงยังคงต่ำกว่าตลิ่ง และให้บริหารจัดการสอดรับกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด