ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำบุคลากร ภาคีเครือข่าย ร่วมประกาศเจตนารมณ์ในการป้องกันและจัดการความรุนแรงในโรงพยาบาล (STOP Violence) เผย ตั้งแต่ปี 2560-2567 เกิดเหตุรุนแรงในโรงพยาบาลและห้องฉุกเฉิน 101 ครั้ง ส่วนใหญ่มึนเมา ทำลายทรัพย์สิน ทำร้ายร่างกายบุคลากร ร่วมมือภาคีเครือข่ายวางระบบบริหารจัดการความปลอดภัย ให้โรงพยาบาลเป็นแบบอย่างพื้นที่ปลอดภัยในสังคม ผู้รับบริการและบุคลากรมีความปลอดภัย สังคมให้ความร่วมมือลดพฤติกรรมคุกคามและความรุนแรง
วันที่ 18 กันยายน 2568 ที่ ศูนย์การประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการป้องกันและจัดการความรุนแรงในโรงพยาบาล (STOP Violence) มีผู้บริหาร บุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และภาคีเครือข่าย กว่า 300 คน ร่วมประชุม พร้อมทั้งปาฐกถาพิเศษ “ยกระดับความปลอดภัยในสถานพยาบาลสู่วาระแห่งชาติ” และนำผู้เข้าประชุมประกาศเจตนารมณ์ในการป้องกันและจัดการความรุนแรงในโรงพยาบาล ดังนี้ 1) ความรุนแรงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวาจา การคุกคาม หรือการกระทำต่อร่างกายและทรัพย์สินในสถานพยาบาล เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง (Zero Tolerance) 2) เราจะผนึกกำลังเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่เข้มแข็งและไร้รอยต่อ 3) เราจะพัฒนาแนวทางป้องกัน รับมือ และเยียวยาบุคลากรอย่างเป็นระบบ 4) รณรงค์สร้างความเข้าใจแก่สังคมว่า ประชาชนคือศูนย์กลาง และการรักษาที่มีคุณภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคลากรได้รับความปลอดภัย
นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2560 – 2567 เกิดเหตุรุนแรงในโรงพยาบาลและห้องฉุกเฉิน รวม 101 ครั้ง ที่พบบ่อยคือ ผู้ก่อเหตุมึนเมา ทำลายทรัพย์สิน ทำร้ายร่างกายบุคลากร ก่อให้เกิดบรรยากาศที่ไม่ปลอดภัยในการทำงาน ส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ และคุณภาพการบริการประชาชน กระทรวงสาธารณสุขจึงมีการเตรียมการเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ด้วยการสร้างระบบการบริหารจัดการความปลอดภัย, เพิ่มศักยภาพบุคลากรให้พร้อมรับมือต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ, ยกระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนและสังคม รวมถึงการสื่อสารสร้างค่านิยมของสังคมว่าโรงพยาบาลเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน
นายแพทย์โอภาส กล่าวต่อว่า ในส่วนของมาตรการความปลอดภัย ได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยบริการพัฒนาระบบแจ้งเหตุ ป้องกัน และติดตามผล โดยด้านอาคารสถานที่ ให้มีกล้องวงจรปิดที่พร้อมตรวจสอบตลอด 24 ชั่วโมง ควบคุมประตูเข้า-ออก และทางฉุกเฉิน มีพื้นที่พักญาติที่ปลอดภัยและเป็นระเบียบ ด้านความปลอดภัย ให้ติดสัญญาณเตือนภัย/ขอความช่วยเหลือ และเชื่อมช่องทางแจ้งเหตุกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง เครือข่ายอาสาสมัคร มูลนิธิต่างๆ จัดให้มีระบบรายงาน / ฟื้นฟูหลังเหตุการณ์ และจัดซ้อมแผนเผชิญเหตุ หากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นในโรงพยาบาลให้บังคับใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มข้น เพื่อให้โรงพยาบาลเป็นแบบอย่างพื้นที่ปลอดภัยในสังคม ผู้รับบริการได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ ปลอดภัย บุคลากรทำงานด้วยความปลอดภัย รวมถึงสังคมให้ความร่วมมือลดพฤติกรรมคุกคามและความรุนแรง