วันที่ 17 กันยายน 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์สภาพอากาศช่วงปลายเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้ พบว่า มีแนวโน้มการก่อตัวของพายุดีเปรสชันบริเวณประเทศฟิลิปปินส์ เคลื่อนตัวลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบน หลังจากนั้นจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน คาดว่า จะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกของประเทศจีนตอนใต้ในช่วงวันที่ 19 – 20 ก.ย. จะส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับในระยะนี้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกหนักสะสมต่อเนื่องส่งผลให้ในหลายพื้นที่ยังเกิดน้ำท่วมขัง โดยเฉพาะในพื้นที่กลุ่มลุ่มน้ำชี-มูล ซึ่ง สทนช. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด สำหรับสถานการณ์น้ำปัจจุบัน พบว่าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในพื้นลุ่มน้ำชีมีปริมาณน้ำมาก ได้แก่ อ่างเก็บน้ำจุฬาภรณ์ จังหวัดชัยภูมิ มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 123 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) หรือ 75% ของความจุเก็บกัก และปิดการระบายน้ำ, อ่างเก็บน้ำอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 1,762 ล้าน ลบ.ม. หรือ 72% ของความจุเก็บกัก ระบายน้ำ 18 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และอ่างเก็บน้ำลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ มีปริมาณน้ำ 1,488 ล้าน ลบ.ม. หรือ 75% ของความจุเก็บกัก ระบายน้ำ 13.15 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน นอกจากนี้ สทนช. ได้ประเมินสถานการณ์น้ำในอ่างฯ ขนาดใหญ่ทั้ง 3 แห่ง ในอีก 7 วันข้างหน้า พบว่าจะมีปริมาณน้ำจะเกิน 80% ของความจุเก็บกัก ในขณะที่ระดับน้ำท้ายเขื่อนบริเวณเมืองสำคัญ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด มีระดับต่ำกว่าตลิ่ง 0.2 – 3.0 เมตร และมีแนวโน้มลดลง ยกเว้นจังหวัดยโสธร ที่ระดับน้ำสูงกว่าตลิ่ง 0.4 เมตร และมีแนวโน้มสูงขึ้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมพื้นที่รับปริมาณน้ำฝนที่จะตกมาเพิ่มจากการคาดการณ์ปริมาณฝนและสถานการณ์พายุที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกันยายน – ต้นเดือนตุลาคม จึงต้องเร่งพร่องระบายน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำชี-มูล ก่อนที่จะเกิดมวลน้ำจากปริมาณฝนที่ตกเพิ่มในลุ่มน้ำมูลและชีไหลไปรวมตัวกันที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอาจส่งผลกระทบในพื้นที่เป็นวงกว้างได้ สทนช. จึงได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนปรับเพิ่มการระบายน้ำของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 3 แห่ง โดยเป็นการปรับเพิ่มแบบขั้นบันไดเพื่อให้เกิดผลกระทบพื้นที่ท้ายน้ำน้อยที่สุด โดย สทนช. จะติดตามและประเมินผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนอย่างต่อเนื่องใกล้ชิด ในการนี้ได้ประสานให้ทุกหน่วยงานและพื้นที่เร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับประชาชนได้รับทราบสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเตรียมรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป