สธ.เขต 9 เผย รพ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ พัฒนารูปแบบการแพทย์ฉุกเฉินภาวะเสี่ยงสงคราม รองรับสถานการณ์ได้จริง อพยพผู้ป่วยได้ใน 2 ชั่วโมง

ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 เผยผลกระทบสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มูลค่าเสียหายรวมกว่า 114.7 ล้านบาท ด้าน รพ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ศึกษาการพัฒนารูปแบบการแพทย์ฉุกเฉินในภาวะเสี่ยงสงคราม พบรองรับสถานการณ์ได้จริง ช่วยบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อพยพผู้ป่วยทั้งหมดได้ภายใน 2 ชั่วโมง

นพ.สามารถ ถิระศักดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการบริหารจัดการทางการแพทย์และสาธารณสุขของเขตสุขภาพที่ 9 รองรับสถานการณ์ภัยสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ในงานประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2568 ว่า สถานการณ์เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 และมีเหตุปะทะอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อประชาชนรวมถึงหน่วยบริการสาธารณสุข โดย จ.บุรีรัมย์ ปิดบริการ 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลประโคนชัย และโรงพยาบาลบ้านกรวด ส่วน จ.สุรินทร์ ปิดบริการ 4 แห่ง คือ โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โรงพยาบาลกาบเชิง โรงพยาบาลสังขะ และโรงพยาบาลปราสาท มูลค่าความเสียหายรวม 114.7 ล้านบาท แบ่งเป็น ด้านโครงสร้าง 45 ล้านบาท ด้านบุคลากร 25.5 ล้านบาท อุปกรณ์/เครื่องมือ 1.45 ล้านบาท และงบประมาณที่สูญเสียอีก 42.7 ล้านบาท มีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) เพื่อเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข พร้อมทั้งกำหนดแผนการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน 5 ระดับ โดยใช้แผนระดับ 2 รับมือสถานการณ์ ได้แก่ กำหนดจุดปลอดภัยในพื้นที่ วางแผนเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ เตรียมพร้อมเรื่องเตียง ยา เวชภัณฑ์ โลหิต จัดทีมปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงทีม Sky Doctor เพื่อลำเลียงผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศ จัดระบบดูแลสุขภาพในศูนย์พักพิงทั้งการรักษาพยาบาล สุขาภิบาล และสุขภาพจิต นอกจากนี้ ยังจัดทำแผนฟื้นฟูด้านสาธารณสุขหลังสงคราม ทั้งระยะเร่งด่วน ระยะสั้น 1-4 สัปดาห์ ระยะกลาง 1-6 เดือน และระยะยาว 6 เดือน – 2 ปี

“ในงานประชุมวิชาการฯ มีการนำเสนอผลการศึกษาของโรงพยาบาลละหานทราย จ.บุรีรัมย์ เรื่องการพัฒนารูปแบบการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดนในภาวะเสี่ยงสงคราม ซึ่งเป็นการดำเนินการก่อนเกิดเหตุ และเมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้นจริงได้นำมาปรับใช้ ทำให้สามารถบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” นพ.สามารถกล่าว

ด้าน นพ.คิมธวัช นันตะวัน นายแพทย์ปฏิบัติการ โรงพยาบาลละหานทราย จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีความตึงเครียดตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 โดย อ.ละหานทราย เป็น 1 ใน 7 พื้นที่เฝ้าระวังของ จ.บุรีรัมย์ จึงได้ทำการศึกษาใน 3 ส่วน คือ 1.สภาพปัจจุบันและปัญหาของระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน พบว่า โรงพยาบาลละหานทรายยังมีข้อจำกัดหลายมิติ ทั้งด้านทรัพยากร โดยมีเตียงผ่าตัดจำกัด ไม่สามารถรองรับผู้บาดเจ็บจำนวนมากพร้อมกันได้ เวชภัณฑ์ เลือดสำรอง ไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ รถพยาบาลหรืออุปกรณ์ช่วยชีวิตขั้นสูงมีข้อจำกัด/มีสภาพเก่า ด้านการประสานงานกับหน่วยงานกู้ภัยและหน่วยงานความมั่นคง ยังไม่เป็นระบบเดียวกันทำให้ล่าช้าหากเกิดเหตุ และมีการปฏิบัติงานซ้ำซ้อนในบางขั้นตอน และด้านความพร้อมของบุคลากร ยังมีจำนวนน้อยและขาดการอบรมเฉพาะทาง

2.การพัฒนารูปแบบการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดนในภาวะเสี่ยงสงครามให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ แบ่งเป็น 4 องค์ประกอบ คือ 1) การเตรียมความพร้อมภายในโรงพยาบาล โดยจัดทำเตรียมแผนเผชิญเหตุฉุกเฉิน ครอบคลุมสถานการณ์ปะทะ/สู้รบ, เตรียมพร้อมด้านทรัพยากรบุคคล จัดเวรสำรอง อบรมทักษะการแพทย์ฉุกเฉิน, สำรองทรัพยากร เวชภัณฑ์ เลือด ห้องผ่าตัด เตียงฉุกเฉิน และจัดตั้งทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ในภาวะภัยพิบัติ สาธารณภัยระดับอำเภอ (Mini MERT) 2) การประสานงานข้ามหน่วยงานในระดับอำเภอ โดยตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์เชื่อมโยงกับ PHEOC เขตสุขภาพที่ 9, ตั้งหน่วยงานประสานงานกับทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กู้ภัย ในการจัดการพื้นที่เกิดเหตุ, จัดทำช่องทางสื่อสารกลางลดความซ้ำซ้อน และมีแผนการอพยพและลำเลียงผู้ป่วยจากโรงพยาบาลละหานทรายไปยังโรงพยาบาลแม่ข่าย 3) จัดระบบคัดแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วย 4 ระดับ คือ รุนแรง (แดง) ปานกลาง (เหลือง) เล็กน้อย (เขียว) และเสียชีวิต (ดำ) ตามมาตรฐานสากล กำหนดจุดคัดแยกใกล้พื้นที่ปลอดภัย กำหนดเส้นทางเคลื่อนย้ายและใช้รถพยาบาล/รถกู้ชีพหลายระดับร่วมกับทหาร พร้อมผังการทำงานและแบบเช็คลิสต์สำหรับเจ้าหน้าที่ เพื่อความชัดเจนลดความสับสน และ 4) การฝึกซ้อมจำลองร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งการฝึกซ้อมในห้องประชุม ฝึกเฉพาะบทบาท ฝึกสถานการณ์จำลองจริงในพื้นที่ และสรุปผลหลังการซ้อมเพื่อนำไปปรับปรุงแผน

และ 3.การประเมินผลรูปแบบ พบว่า รูปแบบที่พัฒนาสอดคล้องกับแผนเตรียมพร้อมแห่งชาติ (สมช. 2560-2564) ซึ่งกำหนดการแพทย์และสาธารณสุขเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักด้านความมั่นคง และตรงกับแนวทางของเขตสุขภาพที่ 9 จากการทดลองฝึกซ้อมพบสามารถปฏิบัติได้จริง เหมาะสมกับพื้นที่ ผู้เข้าร่วมฝึกซ้อมมีความพึงพอใจระดับสูง ทั้งนี้ การประสานงานข้ามหน่วยงานถือเป็นหัวใจสำคัญ โดยการเชื่อมโยงระหว่างโรงพยาบาล ทหาร หน่วยกู้ภัย ฝ่ายปกครอง ทำให้การตอบสนองเป็นระบบเดียว สามารถลดความล่าช้า ซึ่งสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกที่พบว่า การใช้ระบบบัญชาการเหตุการณ์ (ICS) และการซ้อมร่วมกันสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้

“ภายหลังการศึกษา 1 เดือน ได้เกิดสถานการณ์ขึ้นจริงและได้ใช้การตอบโต้ภาวะฉุกเฉินตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้น โดยมีการอพยพผู้ป่วย 28 รายออกจากพื้นที่ ตามแนวทางการคัดแยก 4 ระดับ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง ก็สามารถส่งผู้ป่วยรายสุดท้ายออกจากโรงพยาบาลได้ รวมทั้งมีการจัดทีม Mini MERT 2 ทีม ที่โรงพยาบาลประโคนชัย และโรงพยาบาลนางรอง ส่วนบุคลากรอื่นๆ ได้ประจำการที่ศูนย์พักพิงสนามช้างฯ โดยเปิดให้บริการในรูปแบบผู้ป่วยนอก ดูแลประชาชนที่อพยพมากกว่า 15,000 ราย” นพ.คิมธวัชกล่าว