สถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 14 ก.ย. 68 เวลา 7.00 น.

1. ปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.เชียงใหม่ (174 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.บึงกาฬ (87 มม.) จ.สุพรรณบุรี (92 มม.) ภาคตะวันออก : จ.นครนายก (101 มม.) ภาคตะวันตก : จ.กาญจนบุรี (44 มม.) ภาคใต้ : จ.ยะลา (147 มม.)

สภาพอากาศวันนี้ : ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ เนื่องจากมีแนวพัดสอบของลมตะวันตกเฉียงเหนือและลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุม ส่วนประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนฟ้าคะนอง และมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคกลาง ภาคตะวันออก เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย

คาดการณ์ : ช่วงวันที่ 15–16 ก.ย. 68 ภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนจะเริ่มมีฝนลดลง ในขณะที่ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากร่องมรสุมยังคงพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ประกอบกับยังคงมีมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย

2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 75% ของความจุเก็บกัก (60,095 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 62% (35,973 ล้าน ลบ.ม.)

3. ข่าวประชาสัมพันธ์ : วานนี้ (13 ก.ย. 68) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 14/2568 จากการคาดการณ์ปริมาณฝนร่วมกันระหว่างกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) พบว่าในช่วงปลายเดือนกันยายนเป็นต้นไป จะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มจะมีการก่อตัวของพายุอีก 1-2 ลูก ซึ่งจะทำให้มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในประเทศไทย จากสถานการณ์ดังกล่าวที่ประชุมจึงได้พิจารณาวางแผนบริหารจัดการน้ำในลักษณะเป็นกลุ่มลุ่มน้ำ ได้แก่
1. กลุ่มลุ่มน้ำชี-มูล ให้เพิ่มอัตราการระบายน้ำเขื่อนอุบลรัตน์จาก 18 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 20 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
2. ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือให้เพิ่มการระบายน้ำอ่างเก็บน้ำห้วยหลวง น้ำอูน และหนองหาร เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณฝนในรอบถัดไป
3. กลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา ให้เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์คงอัตราการระบายน้ำ 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และ 20 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ตามลำดับ ไว้ก่อนในระยะ 1 สัปดาห์จากนี้ เพื่อชะลอมวลน้ำที่จะไหลลงไปด้านท้ายน้ำ สำหรับเขื่อนเจ้าพระยาให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกให้ได้มากที่สุด รวมถึงกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำตลอดลำน้ำเพื่อเร่งการระบายน้ำ พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือที่จะช่วยผลักดันน้ำให้เต็มศักยภาพ ในกรณีที่จำเป็นต้องเพิ่มอัตราการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาให้สูงกว่า 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ที่ประชุมมีมติให้จัดทำหนังสือขออนุญาตต่อประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ล่วงหน้า 3 วัน และให้กรมชลประทานแจ้งเตือนจังหวัดในพื้นที่ท้ายน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้เตรียมรับมือล่วงหน้าเพื่อลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

4. พื้นที่ประสบอุทกภัย : วันที่ 13 ก.ย. 68 เกิดสถานการณ์อุทกภัย ในพื้นที่ 12 จ. 38 อ. ได้แก่ จ.พิษณุโลก (อ.วังทอง และบางระกำ) จ.พิจิตร (อ.เมืองฯ สามง่าม โพทะเล โพธิ์ประทับช้าง บึงนาราง บางมูลนาก ทับคล้อ ดงเจริญ และสากเหล็ก) จ.เพชรบูรณ์ (อ.วิเชียรบุรี) จ.นครสวรรค์ (อ.เมืองฯ ชุมแสง และตาคลี) จ.อุทัยธานี (อ.เมืองฯ) จ.ชัยนาท (อ.สรรยา) จ.สิงห์บุรี (อ.อินทร์บุรี และพรหมบุรี) จ.อ่างทอง (อ.เมืองฯ ป่าโมก วิเศษชัยชาญ และไชโย) จ.สุพรรณบุรี (อ.เมืองฯ บางปลาม้า และสองพี่น้อง) จ.พระนครศรีอยุธยา (อ.เสนา ผักไห่ บางบาล บางไทร บางปะอิน และพระนครศรีอยุธยา) จ.นครปฐม (อ.เมืองฯ บางเลน สามพราน และกำแพงแสน) และ จ.ฉะเชิงเทรา (อ.เมืองฯ และบางน้ำเปรี้ยว)