“คณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ” ประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและถกแผนบริหารจัดการน้ำกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา ชี-มูล และโขงตะวันออกเฉียงเหนือ หลังคาดการณ์ว่าจะมีฝนเพิ่มปลาย ก.ย. เป็นต้นไป และมีแนวโน้มพายุอีก 1-2 ลูก เตรียมตั้งกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) บริหารสถานการณ์น้ำในภาพรวม
วันที่ 13 กันยายน 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 14/2568 พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมน้ำปิง ชั้น 4 อาคารจุฑามาศ สทนช. และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า จากการคาดการณ์ปริมาณฝนร่วมกันระหว่างกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) พบว่า ในช่วงวันที่ 12 – 16 ก.ย. 68 จะมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีฝนตกหนักบางแห่ง แต่ภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีฝนลดลง จากนั้น ในช่วงวันที่ 17 – 21 ก.ย. ร่องมรสุมจะเลื่อนลงไปพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลางรวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ ส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม มีแนวโน้มจะมีการก่อตัวของพายุอีก 1-2 ลูก ซึ่งจะทำให้มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในประเทศไทย จากสถานการณ์ดังกล่าว ที่ประชุมจึงได้พิจารณาวางแผนบริหารจัดการน้ำในลักษณะเป็นกลุ่มลุ่มน้ำต่างๆ ได้แก่ กลุ่มลุ่มน้ำชี-มูล ซึ่งขณะนี้เขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาณน้ำ 67% ของความจุเก็บกัก ที่ประชุมจึงมีมติให้เพิ่มอัตราการระบายจาก 18 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 20 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างของเขื่อน โดยต้องไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำและสอดคล้องกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำท้ายเขื่อนในแต่ละวันด้วย สำหรับกลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่าแหล่งน้ำหลายแห่งมีปริมาณน้ำให้เต็มความจุเก็บกักแล้ว ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยหลวง มีปริมาณน้ำ 100% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ น้ำอูน มีปริมาณน้ำ 90% ของความจุเก็บกัก และหนองหาร มีปริมาณน้ำ 98% ของความจุเก็บกัก ที่ประชุมจึงมีมติให้เพิ่มการระบายน้ำเพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณฝนในรอบถัดไป
สำหรับสถานการณ์น้ำในพื้นที่กลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา ขณะนี้ยังคงมีมวลน้ำจากพื้นที่ตอนบนของประเทศไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังไหลลงมาสมทบ ส่งผลให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น โดยมีอัตราน้ำไหลผ่านที่ 2,200 ลบ.ม.ต่อวินาที เพื่อเป็นการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมอย่างสมดุลและส่งผลกระทบต่อประชาชนในทุกพื้นที่น้อยที่สุด ที่ประชุมจึงมีมติให้เขื่อนภูมิพล ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณน้ำ 76% ของความจุเก็บกัก อัตราการระบาย 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำ 87% ของความจุเก็บกัก อัตราการระบาย 20 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน คงอัตราการระบายน้ำไว้ก่อนในระยะ 1 สัปดาห์จากนี้ เพื่อชะลอมวลน้ำที่จะไหลลงไปด้านท้ายน้ำ สำหรับเขื่อนเจ้าพระยา ปัจจุบันมีอัตราการระบายที่ 2000 ลบ.ม. ต่อวินาที ส่งผลให้มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม 138,100 ไร่ ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดอ่างทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี ดังนั้น เพื่อลดผลกระทบ ที่ประชุมจึงได้มีมติให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกให้ได้มากที่สุด เช่น ระบายน้ำไปทางคลองส่งน้ำที่ยังสามารถรองรับได้ รวมถึงกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำตลอดลำน้ำเพื่อเร่งการระบาย พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือที่จะช่วยผลักดันน้ำให้เต็มศักยภาพ ในกรณีที่จำเป็นต้องเพิ่มอัตราการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาให้สูงกว่า 2,000 ลบ.ม.ต่อวินาที ที่ประชุมมีมติให้จัดทำหนังสือขออนุญาตต่อประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ล่วงหน้า 3 วัน และให้กรมชลประทานแจ้งเตือนจังหวัดในพื้นที่ท้ายน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้เตรียมรับมือล่วงหน้าเพื่อลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
“เนื่องจากสถานการณ์ฝนในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป จะยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่องและตกหนักในหลายพื้นที่ของประเทศ สถานภาพอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งมีแนวโน้มปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปริมาณน้ำในลุ่มน้ำปิง ยม และน่านเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่อาจต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยามากกว่า 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำในหลายจังหวัด ที่ประชุมจึงมีมติให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการเสนอคำสั่งแต่งตั้ง “กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ” เพื่อให้ประธาน กนช. พิจารณาลงนามในคำสั่ง ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์การยกระดับสถานการณ์อุทกภัย ระดับที่ 2 ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ที่ กนช. เห็นชอบต่อไป เพื่อให้สามารถบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัยในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” เลขาธิการ สทนช.กล่าวในตอนท้าย