สช.และภาคีประชุมเข้ม หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมสื่อออนไลน์ เพื่อเฝ้าระวังบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย “ปิดช่องโหว่การตลาดบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อออนไลน์” ที่กำลังแพร่ระบาดกับเด็กและเยาวชนที่ตกเป็นเหยื่อทางการตลาด
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมประชุมถกเข้ากับภาคีเครือข่าย คือ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผุ้บริโภค (สคบ.) กระทรวงวัฒนธรรม กองงานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ กรมควบคุมโรค กรมประชาสัมพันธ์ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) สภาองค์กรผู้บริโภค และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อวันที่ 11 กย. ที่ผ่านมา
ศ.พญ. สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ ประธานคณะกรรมการพัฒนานโยบายประเด็นการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า กล่าวว่า จากการจัดประชุมเพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้สื่อในการป้องกันและแก้ไข เมื่อวันที่ 4-5 สิงหาคม ในหัวข้อ “สื่อสร้างสรรค์ รู้เท่าทันกลยุทธ์ธุรกิจยาสูบ” เพื่อสร้างความตระหนักรู้และให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเราได้รับความร่วมมือที่ดีจากคณะรัฐมนตรี และรวมทั้งได้รับความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆที่ได้มาร่วมงาน ซึ่งได้นำ 5 มาตราการที่ ครม.เห็นชอบ มาเพื่อหาแนวทางการดำเนินงานร่วมกันต่อไป ปัญหานี้รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่ถูกโฆษณาชักจูงผ่านสื่อออนไลน์ พร้อมย้ำว่า “สื่อคือดาบสองคม” สามารถทั้งสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง หรือปล่อยให้เป็นช่องทางการตลาดที่ล่อหลอกเด็กก็ได้ ดังนั้น จำเป็นต้องวางมาตรการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์และเข้มข้น
ผศ.ดร.ลักขณา เติมศิริกุลชัย ให้ข้อมูลว่า สื่อที่เป็นส่วนสำคัญของการสื่อสารประเด็นบุหรี่ไฟฟ้าและผลกระทบที่ของบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและเยาวชน และสื่อมีอิทธิพลอย่างมากต่อการแพร่กระจายของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถนำมาใช้ในการให้ความรู้ สร้างความตระหนักรู้ และช่วยในการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ได้ หากมีการวางแผนและดำเนินการอย่างจริงจังและสร้างสรรค์
ศ.นพ. ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ให้ข้อมูลว่า สถิติที่น่าตกใจ เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของการสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้วของกลุ่มอายุ 15-29 ปี ที่ติดบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งนโยบายการต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าก็สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลชุดท่านอนุทิน ที่มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะไม่ให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย และสั่งการให้ปราบปราม จึงเป็นทิศทางที่ดีในการแก้ไขปัญหามากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ เรื่องของกลไกการควบคุมเรื่องกฏหมายที่ตรวจจับบุหรี่ไฟฟ้าชนิดที่ไม่มีกลิ่น และชนิดที่มีกลิ่นหอม ต้องทำให้เป็นข้อห้ามทั้งหมดทุกชนิด รวมทั้งเรื่องของอายุของผู้สูบต่อการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นอันตรายมากในกลุ่มเด็กและเยาวชน เมื่อได้ทบทวนงานวิชาการ พบว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้านั้น เสพติดมากกว่าการสูบบุหรี่มวน เนื่องจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มเป็นต้นทางไปสู่ยาเสพติดอื่นๆได้ ทำให้หลายๆประเทศ รวมถึงรัฐบาลไทยมีนโยบายอย่างเข้มข้นในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ศ.นพ. ประกิต กล่าว
นพ.อภิชาติ รอดสม รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวถึง การพัฒนานโยบายสาธารณะ สช. ในสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น “การปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า” โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ซึ่งการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าจะมุ่งเน้นปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากภยันตรายและการเสพติดของบุหรี่ไฟฟ้า โดยดำเนินการด้าน “มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย” เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน รวม 5 มาตรการ 1 พัฒนาและจัดการองค์ความรู้ 2 สร้างการรับรู้โทษพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้าแก่เด็ก เยาวชน และสาธารณชน 3 เฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า 4 พัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายเพื่อสนับสนุนมาตรการป้องกันควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า 5 ยืนยันนโยบายและมาตรการป้องกันและปราบปรามการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้า
สำหรับความท้าทายในการกำกับดูแลสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อออนไลน์และการควบคุมการโฆษณาหรือการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ยาสูบ เช่น บุหรี่ไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่มีอำนาจกำกับดูแลสื่อหลักอยู่แล้ว แต่ต้องขยายขอบเขตในการกำกับสื่อในรูปแบบอื่นๆ เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่น สื่อออนไลน์ในแพลตฟอร์ม ซึ่งมีอำนาจในการลงโทษปรับทางปกครองหรือสั่งพักใช้/เพิกถอนใบอนุญาตได้ นอกจากนี้ยังได้มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า
แม้จะมีความท้าทาย รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ได้ดำเนินมาตรการอย่างจริงจัง และมีการตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาล เช่น เรื่องการปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานหลักในการปราบปรามอย่างจริงจัง มีการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับแจ้งเบาะแสการขายบุหรี่ไฟฟ้า และจัดทีมปฏิบัติการด้านการปราบปราม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีนโยบายปราบปรามอย่างจริงจัง มีตัวอย่างการปรับเป็นจำนวนเงินสูงถึง 90 ล้านบาท และรวมถึงจุดยืนของรัฐบาลในการสั่งการให้ “ล้างบางบุหรี่ไฟฟ้า” โดยมีท่านจิราพร สินธุไพร เป็นประธาน
ทั้งนี้ ยังมีเรื่องการป้องกันและการให้ความรู้ ด้าน สคบ. ดำเนินการด้านการป้องกันปัญหาการแพร่ระบาด โดยจัดการอบรมให้ความรู้กับเด็กและกลุ่มต่างๆ กระทรวงวัฒนธรรม มีบทบาทในการปกป้องเด็กและเยาวชนจากสื่อบันเทิงที่นำเสนอภาพการสูบบุหรี่ ส่งเสริมให้สถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้เป็นเขตปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า สร้างความรู้ความตระหนัก กรมประชาสัมพันธ์ ได้ดำเนินกิจกรรมรณรงค์ เช่น แคมเปญ “30 วันดีเดย์” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโทษของกฎหมายและอันตรายต่อสุขภาพจากบุหรี่ไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นการปราบปรามผู้ขาย ลดการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของนักสูบหน้าใหม่และลดจำนวนผู้สูบ รวมทั้งมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบสื่อที่เข้าถึงวัยรุ่นโดยไม่สั่งสอน เน้นข้อความสั้น กระชับ ดึงดูด
“แม้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีความมุ่งมั่นและได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกหลายด้านในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในยุคดิจิทัล ทั้งการปราบปราม การป้องกัน การให้ความรู้ และการขับเคลื่อนนโยบาย แต่ ประสิทธิภาพโดยรวมยังมีความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ด้วยลักษณะเฉพาะของสื่อออนไลน์ที่ยังมีช่องว่างให้ผู้ค้าสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดและการหลบเลี่ยงได้อย่างรวดเร็วและซับซ้อน รวมถึงข้อจำกัดในการควบคุมแพลตฟอร์มในโลกออนไลน์ยังคงต้องมีการหามาตรการป้องกันร่วมกัน ต่อไป”