“รองนายกฯ ประเสริฐ” ลงพื้นที่ติดตามภัยแล้งโคราช คุมเข้มจัดการน้ำลำตะคอง ป้องกันผลกระทบฝนทิ้งช่วง สั่งเร่งกักเก็บน้ำให้มากที่สุด

“รองนายกฯ ประเสริฐ” ลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ติดตามสถานการณ์น้ำของอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ โดยเขื่อนลำตะคองมีน้ำ 22% ของความจุเก็บกัก แต่คาด 1 พ.ย. 68 จะมีน้ำมากกว่าปีที่แล้ว โดยกำชับทุกหน่วยงานต้องบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุมและสร้างสมดุลน้ำ กักเก็บน้ำให้ได้มากที่สุด พร้อมเดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน

วันที่ 18 สิงหาคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามข้อสั่งการในเรื่องสถานการณ์น้ำและปัญหาภัยแล้งของอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ในครั้งลงพื้นที่เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 และปัญหาสำคัญที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขโดยเร่งด่วน โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย นายไวฑิต โอชวิช ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ สทนช. รายงานสรุปภาพรวมการบริหารจัดการน้ำจังหวัดนครราชสีมา ความก้าวหน้ามาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 และสรุปผลการขับเคลื่อนตามข้อสั่งการด้านทรัพยากรน้ำ รวมทั้งผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ วัดห้วยลุง ตำบลวังโรงใหญ่ อำเภอสีคิ้ว พร้อมพบปะประชาชนในพื้นที่

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อติดตามความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในจังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะสถานการณ์น้ำในเขื่อนลำตะคอง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญของจังหวัด ปัจจุบันปริมาณน้ำในเขื่อนลำตะคองมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 1 – 2 วันนี้ เนื่องจากมีฝนตกค่อนข้างมาก โดยได้รับทราบรายงานข้อมูลจากกรมชลประทานว่า ขณะนี้เขื่อนลำตะคองมีปริมาณน้ำ 69.67 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) หรือคิดเป็นร้อยละ 22 ของความจุเก็บกัก โดยมีปริมาณน้ำที่ใช้ได้ 45 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ของความจุใช้การ (ข้อมูล ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2568) แม้ปริมาณน้ำในปัจจุบันจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่คาดการณ์ ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เขื่อนลำตะคองจะมีปริมาณน้ำ 173 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 55 ของความจุเก็บกัก ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วที่มีปริมาณน้ำเพียง 103 ล้าน ลบ.ม. จึงทำให้มั่นใจได้ว่าในปี 2569 จะมีน้ำเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชน และการใช้ในพื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัดได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม หน่วยงานยังคงต้องบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุมและเคร่งครัด รวมถึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการบริหารจัดการน้ำร่วมกัน เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับกับทุกสถานการณ์ ป้องกันความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำให้ได้มากที่สุด โดยได้เน้นย้ำหน่วยงานถึงประเด็นสำคัญเรื่อง “การรักษาสมดุลน้ำ” หรือ Water Balance ที่จะต้องมีการบริหารน้ำในเขื่อนอย่างเหมาะสม เพียงพอ โดยพยายามเก็บกักน้ำให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนว่าจะมีน้ำเพียงพอในปี 2569 อย่างแน่นอน

“ตามที่ได้ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มอบแนวทางการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาวไว้แล้ว จากการติดตามผลการดำเนินงานพบว่า มีความคืบหน้าอย่างน่าพอใจ ต้องขอชื่นชมและขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำให้ประชาชนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด โดยในวันนี้ได้มอบนโยบายเพิ่มเติม ดังนี้ 1. ให้กรมชลประทาน เก็บกักน้ำให้ได้ให้มากที่สุด รวมถึงการรักษาสมดุลของน้ำอย่างเหมาะสมและมีการบริหารจัดการน้ำตามแผนที่ได้กำหนดไว้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งมีการบูรณาการและประสานกับ สทนช. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด 2. ให้จังหวัดนครราชสีมาร่วมกับการประปาส่วนภูมิภาคและเทศบาลนครนครราชสีมา เร่งจัดหาและพัฒนาแหล่งน้ำสำรองสำหรับเป็นน้ำดิบเพื่อใช้ในการผลิตน้ำประปาให้เพียงพอกับความต้องการ และรายงานความก้าวหน้าให้ สทนช. ทราบอย่างต่อเนื่อง 3. ให้กรมชลประทาน เร่งดำเนินการโครงการระบบสูบน้ำพร้อมระบบส่งน้ำบ้านซับศรีจันทร์ ตำบลคลองไผ่ อำเภอสีคิ้ว ให้แล้วเสร็จตามแผนงานโดยเร็ว และให้วางแผนการจัดสรรน้ำของอ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ่างเก็บน้ำมูลบน และอ่างเก็บน้ำลำแซะ โดยให้ความสำคัญกับการอุปโภคบริโภคของประชาชนเป็นอันดับแรก สำหรับกิจกรรมอื่น ๆ ให้พิจารณาตามลำดับความสำคัญของการใช้น้ำ 4. ให้การประปาส่วนภูมิภาค สาขาสีคิ้ว เร่งขยายระบบประปาในส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการของพื้นที่ในเขตอำเภอสีคิ้ว 5. ให้กรมทรัพยากรน้ำร่วมกับกรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนบูรณาการเครื่องสูบน้ำและเครื่องจักรเครื่องมืออื่นๆ ให้พร้อมใช้งานเพื่อรับมือกรณีเกิดเหตุอุทกภัยและภัยแล้งได้ทันต่อสถานการณ์ 6. ให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เร่งปฏิบัติการฝนหลวงในช่วงที่อาจประสบปัญหาฝนทิ้งช่วง เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะการเติมน้ำให้อ่างเก็บน้ำลำตะคอง 7. ให้จังหวัดนครราชสีมาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมแผนงานระยะยาว สำหรับเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนและการพัฒนาระบบประปาให้ได้มาตรฐาน รวมถึงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัด ผ่านกลไกคณะกรรมการลุ่มน้ำและ กนช. ตามลำดับ และ 8. ให้ สทนช. กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาและขับเคลื่อนแผนงานในการบริหารจัดการน้ำของลุ่มน้ำลำเชียงไกร รวมถึงการบริหารน้ำของอ่างลำเชียงไกรตอนบนและตอนล่าง โดยต้องสอดคล้องกับสภาพพื้นที่เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม เพื่อให้การแก้ปัญหาน้ำของจังหวัดนครราชสีมาเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ลดความเดือดร้อนของประชาชน และสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาวได้อย่างยั่งยืนต่อไป” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

ด้าน นายไวฑิต โอชวิช กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดนครราชสีมา มีแผนงบประมาณด้านทรัพยากรน้ำ ปีงบประมาณ 2568 และปีงบประมาณ 2569 รวมจำนวน 1,201 โครงการ วงเงินได้รับจัดสรร 5,574.8953 ล้านบาท ดำเนินการโดย 14 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีตัวอย่างโครงการ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพคลองระบาย D14-HPR (ลำห้วยไผ่) ประตูระบายน้ำมะเกลือใหม่ พร้อมอาคารประกอบ ตำบลกุดน้อย อำเภอสีคิ้ว , การก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน ขนาด 1,260 ลบ.ม. ตำบลคลองไผ่ อำเภอสีคิ้ว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนลำตะคอง ซึ่งเป็นโครงการสำคัญ ที่ยังไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณ คาดว่าจะดำเนินการในปี 2570