“คณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ” ประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและแผนระบายน้ำของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ พร้อมวางแผนการระบายน้ำในกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ให้สอดคล้องสถานการณ์ และเตรียมความพร้อมพื้นที่หน่วงน้ำทุกแห่ง หลังคาดการณ์ว่าฝนจะกลับมาตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 11/2568 พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมน้ำปิง ชั้น 4 อาคารจุฑามาศ สทนช. และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การประชุมวันนี้ดำเนินการตามข้อสั่งการของ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ซึ่งมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ฝนและน้ำในช่วงที่ผ่านมาและที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงถัดไป จึงได้สั่งการให้ สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนบริหารจัดการน้ำและรับมือทุกสถานการณ์อย่างทันท่วงทีป้องกันผลกระทบต่อประชาชน
จากการคาดการณ์ปริมาณฝนร่วมกันระหว่างกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) พบว่า ในช่วงวันที่ 14-18 สิงหาคม 2568 ทั่วประเทศมีโอกาสเกิดฝนและฝนฟ้าคะนองต่อเนื่อง โดยเฉพาะฝนตกหนักถึงหนักมากในภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออก และภาคใต้ สทนช. จึงได้มีประกาศแจ้งเตือนให้พื้นที่ดังกล่าวเตรียมเฝ้าระวังน้ำหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขัง น้ำล้นตลิ่ง และระดับน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาที่อาจสูงขึ้น ในช่วงวันที่ 15 – 17 สิงหาคม 2568 ในการนี้ เพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์ดังกล่าว การประชุมได้ร่วมพิจารณาแผนบริหารจัดการน้ำในกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การเตรียมพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อใช้เป็นพื้นที่หน่วงน้ำ ประกอบด้วย ทุ่งบางระกำ ทุ่งรับน้ำ 10 ทุ่งในพื้นที่ภาคกลาง และบึงบอระเพ็ด พบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของทุ่งบางระกำพร้อมรับน้ำเข้าตั้งแต่ วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ส่วนทุ่งรับน้ำ 10 ทุ่งในพื้นที่ภาคกลางจะพร้อมรับน้ำหลังวันที่ 15 กันยายน 2568 เพื่อพร้อมเป็นพื้นที่หน่วงน้ำ สำหรับเขื่อนสิริกิติ์ ขณะนี้มีปริมาณน้ำสูงถึง 7,911 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 83% ของความจุเก็บกัก ที่ประชุมจึงพิจารณาให้คงอัตราการระบายน้ำที่ 55 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน จนถึงวันที่ 2 กันยายนนี้ เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำไหลหลากลงเขื่อนในช่วงถัดไป นอกจากนี้ยังได้วางแผนเร่งระบายน้ำของเขื่อนทางตอนล่าง ได้แก่ เขื่อนผาจุก เขื่อนนเรศวร และเขื่อนเจ้าพระยา ให้สอดรับกับพื้นที่ตอนบน โดยไม่กระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำและต้องเกิดความปลอดภัยต่อตัวเขื่อน ในขณะที่เขื่อนที่อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย เช่น เขื่อนลำตะคอง ซึ่งคาดการณ์ว่าในเดือนพฤศจิกายนจะกักเก็บน้ำได้น้อย ต้องปรับลดแผนการระบายเพื่อเก็บกักน้ำเอาไว้ใช้ในฤดูแล้งด้วย
“ในวันนี้ ที่ประชุมยังได้ขอให้กรมอุตุนิยมวิทยา และ สสน. จัดทำข้อมูลคาดการณ์ปริมาณฝนล่วงหน้า 7 วัน พร้อมปรับปรุงข้อมูลทุกวันต่อเนื่อง เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ใช้ประกอบการบริหารจัดการน้ำในช่วงวิกฤติ เพื่อให้สามารถป้องกันและลดผลกระทบจากอุทกภัยให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งถัดไปให้ได้มากที่สุดเช่นกัน โดยในปีนี้ยังมีแนวโน้มจะเกิดพายุขึ้นอีก 1-2 ลูก ในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการการจัดทำผังน้ำลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำโขงเหนือ และลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน เพื่อเสนอต่อ กนช. พิจารณา ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป” เลขาธิการ สทนช.กล่าวในตอนท้าย

















