กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เตรียมชงคณะรัฐมนตรีพิจารณา บรรจุพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสอบสวนคดีพิเศษ ให้การรับจ้างอุ้มบุญเป็นคดีพิเศษ ยกระดับการติดตาม ดำเนินการผู้กระทำผิดข้ามชาติ
ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวว่า ในประเทศไทยที่มีกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ควบคุมกำกับ หากผู้ใดกระทำการตั้งครรภ์แทน หรือที่เราเรียกกันว่าการ “อุ้มบุญ” โดยไม่ได้รับอนุญาตก็จะเข้าข่ายคดีความผิดทางอาญา ซึ่งการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าวมักมีผู้เกี่ยวข้องในหลายระดับ ทั้งนายหน้า บุคลากรทางการแพทย์ หญิงที่รับจ้างอุ้มบุญ ฯลฯ และมักจะมีลักษณะเป็นการกระทำความผิดข้ามชาติ กรม สบส. จึงหารือร่วมกับ DSI ในการผลักดันให้การกระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เป็นคดีความผิดทางอาญาซึ่งมีลักษณะเป็นคดีพิเศษ โดยบรรจุพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เนื่องด้วย คดีอาญาอื่นที่ไม่ได้ระบุในท้ายพระราชบัญญัติฯ ต้องส่งเรื่องเข้าคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) พิจารณา เพื่อเป็นคดีพิเศษ ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและมีภารกิจที่เร่งด่วนทำให้มีการจัดประชุมไม่บ่อยครั้งจึงอาจเกิดความล่าช้า ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการทางคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และสัมฤทธิ์ผล กรม สบส.จะดำเนินการผลักดันเรื่องอุ้มบุญเข้าสู่คณะรัฐมนตรี โดยเสนอให้ DSI เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบคดี และส่งร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (ที่แก้ไขเพิ่มเติม) ซึ่งอาจจะพิจารณาให้มีการเพิ่มโทษแก่บุคลากรทางการแพทย์ ปรับลดโทษให้แม่อุ้มบุญซึ่งเป็นพยาน เพิ่มโทษให้นายหน้า ผู้ว่าจ้างแทน และให้การกระทำผิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์มีมูลฐานความผิดฐานฟอกเงิน ฯลฯ แก่ DSI พิจารณาว่าต้องการเพิ่มเติมประเด็นใดหรือไม่ ต่อไป
ด้านนายสาโรจน์ ยอดประดิษฐ์ ผู้อำนวยการกองกฎหมาย กล่าวว่า ในระยะเวลาที่ผ่านมากรม สบส. ผลักดันเรื่องการจัดการเรื่องร้องเรียนให้แก้ไขปัญหาการลักลอบอุ้มบุญอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยการสอบสวนมีความซับซ้อนเพราะมีชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง ในลักษณะการกระทำผิดข้ามชาติ ซึ่งกรม สบส. เล็งเห็นว่าด้วยศักยภาพของ DSI เป็นประโยชน์ต่อการทำคดีให้บรรลุผล แต่เนื่องจากปัจจุบันเรื่องร้องเรียนที่ส่งไปยัง DSI ไม่ได้ถูกรับเป็นคดีพิเศษทั้งหมด การกำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 จะทำให้เรื่องร้องเรียนคดีอุ้มบุญเป็นคดีพิเศษ จะเป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในอนาคตได้อย่างครอบคลุม