กรมการค้าต่างประเทศเผยผลสำเร็จการจัดสัมมนาใหญ่ “From Trade War To Trade Win : พลิกเกมการค้าฝ่าวิกฤตโลก” เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ระดมผู้ประกอบการกว่าครึ่งพัน ร่วมเสริมศักยภาพ เตรียมความพร้อม รับมือความท้าทายการค้าโลกอย่างรอบด้าน
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ณ จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การค้าโลก เข้าใจแนวโน้มตลาด และสามารถประเมินโอกาสทางการแข่งขันได้อย่างชัดเจน สำหรับการสัมมนาในครั้งนี้ได้จัดเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ “จัดทัพ ปรับกลยุทธ์ รับศึกสงครามการค้า” ซึ่งมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ 1) ดร.เสรี นนทสูติ กรรมการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม 2) ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร รองคณบดี คณะนิติศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3) คุณวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์อาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ 4) คุณนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมถ่ายทอดมุมมอง วิเคราะห์สถานการณ์ และเสนอแนะแนวทางเชิงกลยุทธ์ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทย “พลิกเกม” และสร้างความได้เปรียบในเวทีโลก
กรมการค้าต่างประเทศพร้อมดำเนินงานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจตุพร บุรุษพัฒน์) ในการ “เดินหน้าเศรษฐกิจ ฟื้นความเชื่อมั่น สร้างโอกาสใหม่ให้ทุกภาคส่วน” โดยกรมฯ ได้กำหนดมาตรการเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศ เช่น การตรวจสอบสินค้าที่มีแนวโน้มแอบอ้างไทยเป็นถิ่นกำเนิด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสหรัฐฯ ว่าสินค้าที่ส่งออกมีถิ่นกำเนิดจากประเทศไทยอย่างแท้จริง และในกรณีที่มีสินค้าจากประเทศอื่นที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ทะลักเข้าสู่ประเทศ กรมฯ พร้อมใช้มาตรการปกป้อง (Safeguard) เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบ โดยเรียกเก็บอากรเพิ่มเติมจากสินค้านำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลกเป็นการชั่วคราว นอกจากนี้ กรมฯ ได้บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องภายใต้คณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อควบคุมการนำเข้าสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ
นางอารดากล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมฯ ยังพร้อมสนับสนุนในการสร้างแต้มต่อทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ซึ่งไทยมี 17 ฉบับ ครอบคลุม 24 ประเทศคู่ค้า และที่จะมีผลบังคับใช้ในปีหน้าอีก 3 ฉบับอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยขณะนี้ กรมฯ ได้นำนวัตกรรมดิจิทัลมาพัฒนาระบบการให้บริการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (SMART C/O) ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอและติดตามผลการอนุมัติผ่านระบบ และสามารถสั่งพิมพ์หนังสือรับรองฯ ที่เจ้าหน้าที่อนุมัติแล้วได้ด้วยตนเอง (Self – Printing) สำหรับกรณีการส่งออกโดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีอาเซียน หรือความตกลงการค้าเสรีไทย – ญี่ปุ่น ข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของทั้ง 2 ความตกลงฯ จะถูกส่งผ่านระบบ e-Form D และ e-Form JTEPA ไปยังศุลกากรประเทศปลายทางทันทีหลังจากเจ้าหน้าที่อนุมัติคำขอแล้ว โดยไม่ต้องสั่งพิมพ์ออกมาเป็นรูปแบบกระดาษ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเกิดความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย”
ผู้แทนภาคเอกชน ทั้งสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมเห็นพ้องกันว่า หากสหรัฐฯ ไม่ลดภาษีจากอัตราร้อยละ 36 จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ภาคเอกชนจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์และหาทางกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยเร่งเปิดตลาดอื่นที่มีศักยภาพให้มากขึ้นควบคู่กับการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (ecosystem) ใหม่ ทั้งการพัฒนาแรงงาน การลงทุนด้านนวัตกรรม การยกระดับมาตรฐานสินค้า การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการกระจายตลาดอย่างทั่วถึง เพื่อให้ธุรกิจไทยยังคงแข่งขันได้ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามการค้าและความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก
นางอารดากล่าวปิดท้ายว่า การผนึกกำลังระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในครั้งนี้ จะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนในเวทีการค้าโลก พร้อมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้อย่างทันท่วงที และใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีได้อย่างเต็มศักยภาพ ความร่วมมือนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการต่อยอดโอกาสทางการค้า ขยายตลาดส่งออกสู่ประเทศคู่ค้าใหม่ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยบนเวทีการค้าโลก ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการต้องการข้อมูลหรือคำแนะนำเพิ่มเติมสามารถติดต่อกรมการค้าต่างประเทศ ได้ที่ สายด่วนกรมการค้าต่างประเทศ 1385 หรือทางเว็บไซต์ www.dft.go.th “โอกาสอยู่ที่นี่ มาร่วมสร้างอนาคตเศรษฐกิจไทยไปด้วยกัน”