วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เวลา 11.00 น. นายราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า ตามที่วันนี้ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการในจังหวัดร้อยเอ็ด ได้รับทราบปัญหาภัยแล้งและความต้องการน้ำของเกษตรกรในพื้นที่ จึงได้สั่งการให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ขึ้นบินปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่ที่ต้องการน้ำอย่างเร่งด่วน ทางกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ขานรับนโยบายดังกล่าวและพร้อมปฏิบัติการฝนหลวงทันทีเมื่อสภาพอากาศเหมาะสม โดยในช่วงนี้สถานการณ์ความต้องการน้ำทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง กำลังเพาะปลูกข้าวนาปี อ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อยู่ในระยะต้นกล้า-แตกกอ และระยะเจริญเติบโต โดยเฉพาะในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิที่สำคัญของประเทศไทย มีความต้องการน้ำสำหรับการเพาะปลูกเป็นจำนวนมาก เพื่อให้มีผลผลิตทันฤดูกาลเก็บเกี่ยวในช่วงปลายปีนี้ อีกทั้งสถานการณ์น้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ พบว่า มีการขอรับบริการฝนหลวงจาก 5 แห่ง ได้แก่ เขื่อนลำตะคอง (14.82%) เขื่อนจุฬาภรณ์ (32.45%) เขื่อนมูลบน (42.64%) เขื่อนลำแชะ (55.83%) และเขื่อนลำนางรอง (28.97%) จึงได้เน้นย้ำให้หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่ความรับผิดชอบ วางแผนปฏิบัติการช่วยเหลือให้ตรงความต้องการให้รวดเร็วที่สุด
นายราเชน กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังได้สั่งให้ปรับแผนการปฏิบัติการฝนหลวงในเดือนสิงหาคม เนื่องจากขณะนี้พื้นที่ภาคเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีฝนตกหนักในบางพื้นที่และมีปริมาณฝนตกสะสมอยู่ในเกณฑ์ดี จึงสั่งปรับแผนตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 6 หน่วย ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ได้แก่ หน่วยฯ จ.กาญจนบุรี ใช้เครื่องบินขนาดเล็ก จำนวน 3 ลำ หน่วยฯ จ.ลพบุรี ใช้เครื่องบินขนาดกลาง จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินของกองทัพอากาศ AU-23 จำนวน 2 ลำหน่วยฯ จ.ขอนแก่น ใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ จำนวน 1 ลำ และเครื่องบินขนาดกลาง จำนวน 2 ลำ หน่วยฯ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ใช้เครื่องบินขนาดเล็ก จำนวน 4 ลำ หน่วยฯ จ.สงขลา ใช้เครื่องบินขนาดกลาง จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกองทัพอากาศ BT-67 จำนวน 1 ลำ และ หน่วยฯ จ.พิษณุโลก ตั้งหน่วยฯ ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ใช้เครื่องบินขนาดกลาง จำนวน 2 ลำ เพื่อช่วยเหลือพื้นที่การเกษตร พื้นที่ป่าไม้ และแหล่งน้ำที่มีการขอรับบริการฝนหลวง อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ำให้ระมัดระวังพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำเพียงพอแล้วและพื้นที่เสี่ยงเกิดอุทกภัย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรของเกษตรกรและประชาชน ทั้งนี้ เกษตรกรและประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของกรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดีย @drraa_pr และขอรับบริการฝนหลวงได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงทั่วทุกภูมิภาค อาสาสมัครฝนหลวงในพื้นที่ เกษตรอำเภอ เกษตรจังหวัด หรือทางโทรศัพท์หมายเลข 02-109-5100 ต่อ 410