กรมการท่องเที่ยวจัดประชุมสนับสนุนการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของประเทศไทย ภายใต้โครงการ Thailand Green Plan 2030 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ครั้งที่ 2 “Shared Action” เมื่อวันพุธที่ 16 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.30 น. ณ ห้องบางลำพู ชั้น 6 โรงแรมอมารีวอเตอร์เกท กรุงเทพฯ โดยมีนายอธึก ประเสนมูล ผู้อำนวยการกองพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว เป็นประธานเปิดการประชุม
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อร่วมกันจัดทำแผน Thailand Green Plan 2030 ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่างๆ โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.แก้วตา ม่วงเกษม อาจารย์ประจำภาควิชาการจัดการการท่องเที่ยวและการบริการ วิทยาลัยนานาชาติมหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมการท่องเที่ยว และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาสังคม จำนวนกว่า 60 คน เข้าร่วม
วัตถุประสงค์หลักของการประชุมมุ่งเน้นการสรุปผลจากการประชุมเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 เพื่อนำข้อเสนอแนะแนวทางการขับเคลื่อนและวิสัยทัศน์ที่ได้ร่วมกันตกผลึก มาปรับให้เป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม นำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือ มาตรฐาน และกลไกดำเนินงานจริงในพื้นที่เป้าหมาย โดยยึดแนวคิด “การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน” เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงาน
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพัฒนาแผนการสื่อสารโครงการเพื่อสร้างการรับรู้ถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และร่วมศึกษา ทบทวนเกณฑ์การประเมินแหล่งท่องเที่ยว มาตรฐานที่พัก และบริษัทนำเที่ยวตามแนวทางมาตรฐานการท่องเที่ยวยั่งยืนโลก (Global Sustainable Tourism Criteria: GSTC-D) เพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)
นอกจากนี้ยังได้ร่วมกันพัฒนาตราสัญลักษณ์ “Thailand Good Travel Seal” เพื่อใช้ในการยกระดับแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก และบริษัทนำเที่ยวของไทยสู่เวทีระดับนานาชาติ รวมถึงวางแผนศึกษาสำรวจ และจัดทำระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อรองรับการบูรณาการข้อมูล และวางแนวทางการบริหารจัดการการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในอนาคต
การประชุมในครั้งนี้ยังมุ่งสร้างกลไกสำคัญ เช่น เครือข่าย Green Coach Network ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด เครื่องมือประเมินตนเองเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Self-Assessment Tool) และแนวทางการเชื่อมโยงมาตรฐานไทยสู่ระดับสากล เช่น Green Destinations และ Travelife เพื่อยกระดับคุณภาพและความยั่งยืนของการท่องเที่ยวไทยให้เทียบเท่าระดับนานาชาติอย่างแท้จริง