สทนช. ลงพื้นที่นครสวรรค์-ชัยนาท ติดตามการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยารับมือฤดูฝนปีนี้

รองเลขาธิการ สทนช. ลงพื้นที่ประชุมหารือแนวทางบริหารจัดการน้ำบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ใช้หน่วงน้ำจากพื้นที่ตอนบนเหนือเขื่อนเจ้าพระยา พร้อมติดตามสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยเน้นบริหารจัดการแบบกลุ่มลุ่มน้ำ เร่งระบายน้ำส่วนเกินผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาในระยะนี้ที่ฝนตกเหนือเขื่อน เพื่อเตรียมพื้นที่ว่างรองรับฝนตกหนักช่วง ส.ค.-ต.ค. 68

วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ สทนช. ลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาและมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดชัยนาท โดยในช่วงเช้าได้เดินทางไปยังจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อเป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีนางสาว ชุติพร เสชัง  ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมบึงบอระเพ็ด ก่อนลงพื้นที่ติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยา บริเวณรอบบึงบอระเพ็ด จากนั้นในช่วงบ่ายได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดชัยนาท โดยเป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา และการเตรียมความพร้อมการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ สำนักงานชลประทานที่ 12 พร้อมทั้งลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ำในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเหนือเขื่อนเจ้าพระยาและพื้นที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณประตูระบายน้ำมโนรมย์ ตามลำดับ

รองเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้ติดตามการบริหารจัดการน้ำของลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยปัจจุบันมีฝนตกกระจายในหลายพื้นที่ตอนบนของเขื่อนเจ้าพระยา เช่น จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดพิจิตร จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดอุทัยธานี ส่งผลให้ปริมาณน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น โดยบริเวณสถานีวัดน้ำ C.2 จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำ 1,000-1,300 ลบ.ม. ต่อวินาที จากปริมาณน้ำที่รองรับได้สูงสุดที่ 3,660 ลบ.ม. ต่อวินาที หรืออยู่ในระดับประมาณ 30% ของความจุลำน้ำ วันนี้กรมชลประทานจึงได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 900 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที และมีแนวโน้มเพิ่มถึงประมาณ 1,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบางพื้นที่ลุ่มต่ำในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดอ่างทอง โดยจังหวัดได้แจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าเพื่อรับมือสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ คาดว่าการระบายน้ำจะทยอยปรับลดหลังจากนี้ราว 1 สัปดาห์ เนื่องจากคาดว่าจะมีฝนทิ้งช่วงในเดือนมิถุนายน ก่อนที่จะกลับมามีฝนตกสะสมอีกครั้งช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ในช่วงนี้จึงสามารถเร่งระบายน้ำเพื่อเตรียมพร้อมพื้นที่ว่างเหนือเขื่อน สำหรับรองรับปริมาณฝนที่คาดว่าจะตกเพิ่มขึ้นในช่วงปลายฤดูฝน ช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคมนี้ โดยขณะนี้ สทนช. ได้มีการบริหารจัดการน้ำในลักษณะของกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วย ลุ่มน้ำปิง ลุ่มน้ำวัง ลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำป่าสัก และลุ่มน้ำท่าจีน ให้มีความสอดคล้องกันในภาพรวม เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำสะสมบริเวณหน้าเขื่อนเจ้าพระยาให้ได้มากที่สุด ซึ่งในระยะนี้จะมีการเร่งระบายน้ำจากเขื่อนกิ่วลม-กิ่วคอหมา ในลุ่มน้ำวัง เขื่อนสิริกิติ์ และจากบางส่วนของแม่น้ำยม โดยระบายน้ำผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหลัก เนื่องจากมีประสิทธิภาพการระบายสูง และปริมาณน้ำส่วนนี้จะสามารถให้ประชาชนและเกษตรกรนำไปใช้ประโยชน์ในช่วงฝนทิ้งช่วงได้อีกด้วย

นอกจากนี้ จากการติดตามการบริหารจัดการน้ำของบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งถือเป็นพื้นที่หน่วงน้ำสำคัญที่จะรองรับมวลน้ำจากพื้นที่ตอนบนก่อนจะไหลเข้าสู่เขื่อนเจ้าพระยา  โดยปัจจุบันบึงบอระเพ็ดมีปริมาณน้ำ 73.86 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 31% ของความจุ ยังคงมีศักยภาพในการรองรับน้ำได้ ซึ่ง สทนช. ได้บูรณาการร่วมกับจังหวัดนครสวรรค์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการบึงบอระเพ็ดสำหรับใช้หน่วงน้ำอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยทุกภาคส่วนรวมถึงประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อประชาชนในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตลอดช่วงฤดูฝนปีนี้ ทั้งนี้ ทางจังหวัดนครสวรรค์ได้มีการส่งเสริมให้ทุ่งบัวแดงเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดเพื่อสนับสนุนอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกรรอบบึงบอระเพ็ดที่ได้รับผลกระทบด้วย