ครั้งแรกของโลก! นักวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ค้นพบสารชีวโมเลกุลใหม่ HeLP (Hevea Latex Polysaccharide) จากเซรั่มน้ำยางพารา พบสารดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง แจ้งจดสิทธิบัตรแล้ว
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นำโดย รศ. นพ.สุนทร วงษ์ศิริ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม รศ. ดร.เภสัชกร ฐณะวัฒน์ พิทักษ์พรปรีชา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพจากน้ำยางพาราสู่เชิงพาณิชย์ (CERB) คณะวิทยาศาสตร์ พร้อมด้วยทีมวิจัยเข้าร่วมงานแถลงข่าว การค้นพบ “สารชีวโมเลกุลใหม่ HeLP (Hevea Latex Polysaccharide) จากเซรั่มน้ำยางพารา” ซึ่งเป็นผลพลอยได้ (by-product) ที่ถูกทิ้งในปริมาณมหาศาลหลายล้านลิตรต่อปีจากอุตสาหกรรมผลิตยางแผ่นและยางแท่ง โดยได้รับเกียรติจาก นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธี ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า การค้นพบ “สารชีวโมเลกุลใหม่ HeLP (Hevea Latex Polysaccharide) จากเซรั่มน้ำยางพารา” นวัตกรรมปรับสมดุลระดับเซลล์ โดยทีมวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ถือเป็นการค้นพบครั้งสำคัญของประเทศไทย ที่ไม่เพียงแต่ค้นพบสารใหม่เท่านั้น แต่ยังสามารถพัฒนากระบวนการสกัดในระดับอุตสาหกรรมได้สำเร็จเป็นรายแรกของโลกอีกด้วย ซึ่งการค้นพบครั้งนี้จะเป็นการสร้างโอกาสของประเทศไทย ในการพัฒนาอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) หรืออุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ ซึ่งจะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรและทรัพยากรชีวภาพ สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง (Inclusive economy) สนับสนุนเศรษฐกิจตามแนวทาง BCG Economy ที่ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เนื่องจากเป็นการพัฒนาภาคเกษตรที่มีประสิทธิภาพ ให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า (Regenerative economy) สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เซรั่มน้ำยางพารา ซึ่งเป็นผลพลอยได้เหลือทิ้งในกระบวนการผลิตไปพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs)
ผู้ช่วย รมว.อว. กล่าวต่ออีกว่า ปัจจุบันทีมวิจัยได้จดสิทธิบัตร ทั้งในไทยและต่างประเทศแล้ว และอยู่ในระหว่างการขึ้นทะเบียน HeLP เป็นอาหารใหม่ (novel food) ผ่านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติภายในกลางปีนี้ รวมถึงอยู่ในระหว่างการสร้างโรงงาน Biorefinery เซรั่มน้ำยางพารามาตรฐาน GMP แห่งแรกของโลกในนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ โดย บริษัท อินโนซุส จำกัด ซึ่งโรงงานดังกล่าวมีความสามารถในการสกัดเซรั่มน้ำยางพาราได้วันละประมาณ 20,000 ลิตร ซึ่งจะผลิต HeLP ได้ประมาณเดือนละ 5,000 กิโลกรัม รวมถึงยังสามารถผลิต functional ingredients อื่น ๆ ซึ่งมีศักยภาพพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมเวชสำอาง อาหารฟังก์ชั่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นวัตกรรมชีวภาพ และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อีกด้วย
ด้าน รศ. ดร.เภสัชกร ฐณะวัฒน์ พิทักษ์พรปรีชา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพจากน้ำยางพาราสู่เชิงพาณิชย์ (CERB) กล่าวว่า ต้นยางพารามีลักษณะพิเศษมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ ในโลกนี้คือ เป็นพืชเพียงชนิดเดียวที่ถูกกระตุ้นด้วยการกรีดทำให้เกิดบาดแผลในทุกวัน ซึ่งปัจจัยตรงนี้จะกระตุ้นให้ต้นยางพารามีการสร้างสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสารที่ช่วยในการสมานแผลตนเอง หรือการป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะเข้าสู่บาดแผลของต้น และเราทราบว่าสารพิเศษเหล่านี้อยู่ในเซรั่มน้ำยางพารานอกเหนือจากตัวที่เป็นเนื้อยาง นี่เป็นที่มาที่ทำให้เราได้สกัดสารที่เกิดจากเซรั่มน้ำยางพารา และค้นพบสารที่มีชื่อว่า HeLP (Hevea Latex Polysaccharide) ซึ่งเป็นสารที่ค้นพบได้เป็นครั้งแรกของโลก
จากการวิจัยต่อยอดเราสามารถพัฒนากระบวนการดังกล่าว จากเดิมที่เราสามารถสกัดในห้องแลปได้ แต่สิ่งสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ต่อยอดสู่อุตสาหกรรมได้ เราจึงมีการพัฒนาในระดับอุตสาหกรรม โดยสามารถจดสิทธิบัตรระดับนานาชาติได้ และนอกเหนือจากการพัฒนาเทคโนโลยีในการสกัดสารดังกล่าวแล้ว เรายังมีการวิจัยถึงฤทธิ์ทางชีวภาพเพื่อวิจัยว่าจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร จึงเป็นที่มาของการศึกษาเพิ่มเติม และก็ได้พบว่าสารดังกล่าวมีความสามารถในการต้านมะเร็ง ทั้งในระดับเซลล์และสัตว์ทดลอง และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ นอกจากนี้ยังพบว่ามีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติกที่ช่วยลดแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ได้ด้วย นี่เป็นตัวอย่างของการศึกษาวิจัยเบื้องต้นที่เราค้นพบว่าสารดังกล่าวมีสรรพคุณ หรือประโยชน์อย่างไรที่จะนำไปใช้ต่อในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง เวชสำอาง ซึ่งพบว่าสารดังกล่าวมีสรรพคุณในการกระตุ้น การค้นพบนี้ถือว่าเป็นการพลิกสรรพคุณของต้นยางพาราได้แบบคนละขั้ว จากที่เราคิดว่าสามารถใช้ประโยชน์จากเนื้อยางพาราในอุตสาหกรรมหนังหรือยางรถยนต์ แต่ว่าการค้นพบตรงนี้ทำให้ภาพที่เรามองต้นยางพาราเป็นภาพของต้นยางพาราที่มีลักษณะคล้ายสมุนไพร เป็น Bio facturing ที่ผลิตสารต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ได้มากมาย
รศ. ดร.เภสัชกร ฐณะวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า CERB ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมจากเซรั่มน้ำยางพารา มาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณกว่า 200 ล้านบาท จากทั้งภาครัฐและเอกชน ผ่านหน่วยงานให้ทุนต่าง ๆ ภายใต้กระทรวง อว. เช่น ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) รวมถึง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และบริษัท อินโนซุส จำกัด ที่สำคัญการค้นพบครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยมุ่งเน้นการผลักดันงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ ก่อให้เกิดผลงานนวัตกรรมด้านยางพาราในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการในภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งยังสร้างผลกระทบ (impact) ทั้งต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม ได้แก่ ลดมลพิษและต้นทุนในการบำบัดเซรั่มจากโรงงานอุตสาหกรรมยางพาราก่อนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม เพิ่มมูลค่าให้กับน้ำยางและส่วนของเซรั่ม ส่งเสริมสหกรณ์กองทุนสวนยางให้มีมาตรฐาน GMP นำไปสู่การสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมยางพาราใหม่ ที่สร้างความยั่งยืนและมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมยางพารา สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ “มหาวิทยาลัยแห่งคุณค่า เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับแนวหน้าของโลก”