วันที่ 22 สิงหาคม 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์อุทกภัยพื้นที่ภาคเหนือ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมชลประทาน และหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) อาคาร 99 ปี หม่อมหลวงชูชาติ กำภู กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์เกิดอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ จ.เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ และสุโขทัย ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น ในการประชุมวันนี้ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและภูมิภาคเตรียมการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างมีเอกภาพ โดยให้มีการประสานงานความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐในการคาดการณ์ ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ การบริหารจัดการน้ำ และประสานให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้ความเดือดร้อน พร้อมกันนี้ขอให้ทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับพี่น้องประชาชนให้น้อยที่สุด
โดยนายภูมิธรรมฯ ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ (1) เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย แพร่ น่าน สุโขทัย โดยเน้นดูแลคุณภาพชีวิตของราษฎรและสร้างการรับรู้ข้อมูลร่วมกัน (2) มอบหมายกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการประกาศพื้นที่ประสบอุทกภัยรุนแรง เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว (3) มอบหมายสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติประสานกระทรวงคมนาคมในการสำรวจความเสียหายของเส้นทางคมนาคมสัญจร (4) มอบหมายสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาตินำรถโมบายเคลื่อนที่สนับสนุนข้อมูลต่าง ๆ ให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง (5) มอบหมายสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติประสานนำโดรนเข้ามาช่วยสนับสนุนในการสำรวจพื้นที่น้ำท่วมและสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น (6) มอบหมายกรมอุตุนิยมวิทยาและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยปรับปรุงการพยากรณ์ให้มีความแม่นยำและมีความละเอียดในระดับพื้นที่ (7) มอบหมายกระทรวงมหาดไทยและกรมการปกครอง เร่งจัดหาที่อยู่อาศัย อาหาร ยา และสิ่งของที่จำเป็น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และ (8) มอบหมายกระทรวงพาณิชย์เตรียมการควบคุมราคาสินค้าไม่ให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นในช่วงระหว่างเกิดอุทกภัย
ด้าน ดร. สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า จากข้อสั่งการดังกล่าว สทนช. ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ที่ จ.สุโขทัยในเป็นการล่วงหน้า และช่วงวันที่ 22 – 25 ส.ค. 67 สทนช. เดินทางไปติดตามสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ตั้งแต่ จ.นครสวรรค์ พิษณุโลก แพร่ ลำปาง พะเยา และเชียงราย เพื่อบูรณาการหน่วยงานในแต่ละพื้นที่เข้าแก้ไขสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่เกิดอุทกภัย รวมถึงวางแผนเตรียมการบริหารจัดการมวลน้ำที่จะไหลลงมาจากภาคเหนือลงสู่ภาคกลาง โดยให้มีการเตรียมความพร้อมพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยที่จะอยู่ในแนวเส้นทางของน้ำ เตรียมความพร้อมของอาคารชลศาสตร์และกำจัดสิ่งกีดขวางเส้นทางระบายน้ำ เตรียมพื้นที่ทุ่งรับน้ำเพื่อชะลอและหน่วงน้ำ รวมถึงเตรียมระบบการแจ้งเตือนภัย และเครือข่ายประชาสัมพันธ์ เพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเตรียมพร้อมในการอพยพได้ทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์ ซึ่งจะช่วยป้องกันและลดผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความเป็นอยู่ของประชาชนให้มากที่สุด
โดย สทนช. ได้ติดตามสถานการณ์น้ำปัจจุบัน พบว่าในช่วงต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา เกิดฝนตกหนักสะสมต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นและเกิดภาวะน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำและชุมชนในหลายพื้นที่ ในการนี้ สทนช. ได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการบริหารจัดการมวลน้ำหลาก โดยเร่งจัดจราจรในแม่น้ำยม เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่ จ.สุโขทัย โดยการหน่วงน้ำไว้ด้านเหนือ ปตร.หาดสะพานจันทร์ และจะผันน้ำส่วนหนึ่งเข้าสู่คลองยม น่าน ผ่านทาง ปตร.คลองหกบาท ก่อนระบายลงสู่แม่น้ำยมสายเก่า อ.พรหมพิราม และ อ.บางระกำ เพื่อรองรับปริมาณน้ำจากพื้นที่แม่น้ำยมตอนบน และแม่น้ำน่านตามลำดับ ส่วนด้านท้ายน้ำจะระบายลงแม่น้ำยมสายหลัก พร้อมแบ่งการระบายน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งฝั่งซ้ายและขวา เพื่อควบคุมปริมาณน้ำที่จะไหลผ่าน จ.สุโขทัย อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม รวมทั้งพิจารณารับน้ำเข้าทุ่งบางระกำ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ สำหรับสถานการณ์น้ำท่า แม่น้ำน่านและแม่น้ำสาขา ที่มีแนวโน้มระดับน้ำเพิ่มขึ้นระดับน้ำท่วมขัง สทนช.จึงได้วางแผนบริหารจัดการมวลน้ำเพื่อลดผลกระทบในพื้นที่ มวลน้ำจะไหลลงสู่เขื่อนสิริกิติ์ซึ่งยังมีศักยภาพในการรองรับน้ำได้ สำหรับปริมาณน้ำท่าที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ จ.ตาก และแม่ฮ่องสอน ก็จะระบายน้ำลงสู่แม่น้ำสาละวินโดยปริมาณน้ำจากตอนเหนือที่จะไหลลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันเหนือเขื่อนขณะนี้ยังสามารถรองรับน้ำได้ และจะมีการบริหารจัดการน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา และผันออกสู่ฝั่งตะวันออกและตะวันตก โดยไม่กระทบกับลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
“นอกจากนี้ สทนช. ยังได้ติดตามสถานการณ์แม่น้ำโขง เนื่องจากฝนตกหนักในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและ สปป.ลาว และการคาดการณ์แนวโน้มระดับน้ำแม่น้ำโขง โดยการประเมินสถานการณ์และแจ้งเตือนเฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นในช่วงวันที่ 20 – 25 สิงหาคม 2567 เพื่อเตรียมรับมือจากสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งและท่วมขังบริเวณริมแม่น้ำโขงและริมลำน้ำบางสาขาของประเทศไทยที่ไม่สามารถระบายน้ำลงสู่แม่น้ำโขงได้โดยสะดวก บริเวณจังหวัดบึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานีด้วย” เลขาธิการ สทนช.กล่าวในตอนท้าย