กรมการค้าต่างประเทศเผยแผนงานปี 66 เร่งผลักดันสินค้าเกษตรสำคัญ ลุยตลาดต่างประเทศ คุมเข้มมาตรฐานสินค้า ผลักดันการค้าชายแดน ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย มุ่งพัฒนางานบริการเพื่ออำนวยความสะดวกผู้ประกอบการ รวมถึงส่งเสริมผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง สร้างแต้มต่อทางการค้า
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การดำเนินงานของกรมฯ ในปีที่ผ่านมา ถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งกรมฯ ได้ดำเนินงานเชิงรุกและมุ่งมั่นในการส่งเสริมและผลักดันสินค้าเกษตรสำคัญ การค้าชายแดน การปกป้องและรักษาผลประโยชน์ทางการค้า รวมถึงการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า อีกทั้งยังได้พัฒนาระบบงานให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการอีกด้วย ซึ่งในปี 2566 กรมฯ ยังเดินหน้าขับเคลื่อนงานสำคัญต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับสถานการณ์ทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยมีแผนการดำเนินงาน ดังนี้
1. การผลักดันสินค้าเกษตรสำคัญ
1) สินค้าข้าว กรมฯ เร่งผลักดันและจัดกิจกรรมส่งเสริมตลาดข้าวไทยตามนโยบาย “รัฐหนุนเอกชนนำ” ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) เพื่อรักษาและขยายตลาดในกลุ่มลูกค้าเดิมและแสวงหากลุ่มลูกค้าใหม่ โดยในปี 2566 กรมฯ มีแผนจัดงานประชุมข้าวนานาชาติ (Thailand Rice Convention 2023) ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการค้าข้าวโลกเดินทางมาประชุมสัมมนาวิชาการ และเจรจาธุรกิจ อีกทั้งยังมีแผนการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ข้าวไทย โดยเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ อาทิ งาน BIOFACH ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี งาน GULFFOOD 2023 ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ งาน FOODEX 2023 ณ ประเทศญี่ปุ่น งาน China – ASEAN Expo ครั้งที่ 20 (CAEXPO) 2023 ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน และงาน Fine Food 2023 ณ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น
2) สินค้ามันสำปะหลัง กรมฯ มีแผนขยายตลาดสินค้ามันสำปะหลังในปี 2565/66 ได้แก่ (1) ตลาดเดิม : จีน (2) ตลาดเก่า : ยุโรป และ (3) ตลาดใหม่ : ตุรกี นิวซีแลนด์ อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และซาอุดีอาระเบีย ผ่านกิจกรรมในรูปแบบ Online และ Onsite รวมถึงการเชิญกลุ่มผู้นำเข้าเข้าร่วมงานมันสำปะหลังโลก ปี 2566 (World Tapioca Conference 2023) ณ จังหวัดนครราชสีมา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566
นอกจากนี้ กรมฯ ยังเร่งผลักดันการส่งออกพลาสติกชีวภาพโดยตั้งเป้าหมายการส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปและนวัตกรรมจากมันสำปะหลังไปยังต่างประเทศมูลค่าไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ในปี 2567 ซึ่งมีสินค้านำร่อง คือ เทอร์โมพลาสติกสตาร์ช (Thermoplastic starch: TPS) และผลักดันการส่งออกแป้งฟลาวมันสำปะหลังปลอดกลูเตนไปยังตลาดที่มีศักยภาพ อาทิ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
2. การคุมเข้มมาตรฐานสินค้า กรมฯ มุ่งกำกับดูแลมาตรฐานสินค้า เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสินค้าที่ไทยส่งออก – นำเข้า เป็นไปตามมาตรฐานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้า โดยจัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำกับดูแลมาตรฐานสินค้าส่งออกที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลทั้ง 9 ชนิด (ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ถั่วเขียว ถั่วเขียวผิวดำ แป้งมันสำปะหลัง ปุยนุ่น ปลาป่น และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง) และกำกับดูแลมาตรฐานสินค้านำเข้า ซึ่งสินค้าสำคัญที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล คือ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ที่นำเข้าตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา และไทย – สปป.ลาว
3. การค้าชายแดน กระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายที่สำคัญในการผลักดันเปิดด่านการค้าไทย-ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อกระตุ้นและเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนไทย โดยมีแผนการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงต้นปี 2566 จะจัดคณะเจรจาผลักดันเปิดด่านชายแดนไทย-สปป.ลาว ที่ยังไม่เปิดทำการ และอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าชายแดนให้เกิดการขยายตัวทางการค้าอย่างเป็นรูปธรรม และกรมฯ ยังมีแผนดำเนินงานโครงการขยายการค้าการลงทุนชายแดนและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยการจัดมหกรรมการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย (ในช่วงเดือน ม.ค. – มี.ค. 66) มหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ด้านลาว (จังหวัดเชียงราย หรือตาก หรือหนองคาย หรือมุกดาหาร หรือนครพนม) และด้านเมียนมา/ด้านกัมพูชา (จังหวัดกาญจนบุรี หรือสระแก้ว หรือตราด)
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศข้อมูลการค้าและการลงทุน (Commerce Intelligence Centre [Border and Transit Trade and SEZ]) หรือระบบ CIC BTS ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลและระบบงานสำคัญของกรมฯ ได้แก่ ข้อมูลสถิติการค้าชายแดน – ผ่านแดน และการค้าระหว่างประเทศ ข้อมูลการออกหนังสือสำคัญการนำเข้า – ส่งออกสินค้า และข้อมูลมาตรการ NTMs ของประเทศคู่ค้าที่มีผลกระทบต่อสินค้าไทย ซึ่งกรมฯ มีแผนที่จะเปิดให้บุคคลภายนอกสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ภายในต้นปี 2566
4. การอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการและการพัฒนาระบบการให้บริการของกรมฯ กรมฯ ได้นำนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้ในงานบริการออกหนังสือสำคัญการส่งออก – นำเข้าสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ โดยกรมฯ ได้ดำเนินโครงการ DFT SMART Certificate of Origin (C/O) เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ให้ผู้ประกอบการสามารถพิมพ์หนังสือรับรองฯ ได้ด้วยตนเอง (Self – Printing) ซึ่งเป็นการให้บริการออกหนังสือรับรองฯ แบบ No Visit คาดว่าจะพร้อมให้บริการได้ในช่วงกลางปี 2566 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้กว่า 480 ล้านบาทต่อปี และจะดำเนินโครงการฯ ต่อเนื่องในระยะที่ 2 เพื่อพัฒนาต่อยอดโดยการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และหลักการบริหารความเสี่ยง (Risk – Based Management on Profile) เป็นต้น รวมทั้งพัฒนาระบบฯ เพื่อรองรับแบบหนังสือรับรองฯ แบบอิเล็กทรอนิกส์ (e – Form C/O) สำหรับทุกความตกลงทางการค้า คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนทางการค้าให้ผู้ประกอบการได้ปีละ 1,330 ล้านบาท
อีกทั้ง กรมฯ ยังได้พัฒนาระบบการให้บริการการขึ้นทะเบียนผู้ส่งออกสินค้ามาตรฐาน การอนุญาตผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า (บริษัท Survey) และผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า (Surveyor) รวมถึงการต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบรับรองมาตรฐานสินค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้สามารถชำระเงินและพิมพ์ใบทะเบียนและใบอนุญาตในรูปแบบที่ผู้ขอรับบริการไม่ต้องเดินทางมาติดต่อเจ้าหน้าที่ (No Visit) และจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลการออกใบรับรองมาตรฐานสินค้า (มส. 24) และการรายงานการส่งออก (มส. 25) กับกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ ซึ่งผู้ขอรับบริการจะได้รับความสะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2566
5. ความคืบหน้าการปรับปรุงกฎหมายใหม่ๆ ของกรมฯ เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยและคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น กรมฯ จึงได้ปรับปรุงและทบทวนกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบ อาทิ พระราชบัญญัติการควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. TCWMD) พระราชบัญญัติว่าด้วยการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. AD – CVD) เป็นต้น
6. การปกป้องและตอบโต้ทางการค้า
1) การใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) สินค้าที่ไทยจะหมดอายุการใช้มาตรการฯ ในปี 2566 และคาดว่าอุตสาหกรรมภายในอาจจะยื่นขอให้เปิดทบทวนเพื่อต่ออายุมาตรการฯ มีจำนวน 2 กรณี ได้แก่ (1) สินค้ายางในรถจักรยานยนต์จากจีน จะหมดอายุมาตรการในวันที่ 29 พ.ย. 66 (2) สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจือโบรอนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนจากจีน จะหมดอายุมาตรการในวันที่ 12 ธ.ค. 66
ที่ผ่านมาในปี 2565 ไทยมีการดำเนินการใช้มาตรการ AD จำนวน 13 กรณี (จากทั้งหมด 24 กรณี) ส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มเหล็ก ในส่วนกรณีที่ไทยถูกประเทศคู่ค้าใช้มาตรการ (1) AD 71 กรณี (2) CVD 5 กรณี (3) SG 14 กรณี
2) มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Anti-circumvention: AC) กรมฯ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการไต่สวนและการแก้ต่างด้านมาตรการ AC ได้ดำเนินการในการปกป้องและช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยทุกรายในการรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของตน โดยได้ดำเนินการ เช่น ติดตามและแจ้งข่าวสารให้ผู้ประกอบการไทยทุกรายทราบอย่างต่อเนื่อง จัดทำหนังสือคัดค้านเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย รวมไปถึงให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการไทยทุกรายในการดำเนินการแก้ต่างอย่างเต็มที่
7. การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมฯ เร่งส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงต่างๆ อาทิ FTA และ RCEP เป็นต้น เพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้า ลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการไทย
ในปี 2565 (มกราคม – ตุลาคม) ผู้ส่งออกไทยใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลง FTA เป็นมูลค่า 71,882.18 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ RCEP คิดเป็นมูลค่า 819.05 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
“ท้ายนี้ กรมฯ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนงานด้านการค้าต่างประเทศในทุกมิติ และพร้อมจะเป็น “พี่เลี้ยง” ที่จะคอยดูแล อยู่เคียงข้างผู้ประกอบการไทย และอำนวยความสะดวกในด้านการค้าต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถฝ่าฟันมรสุมทางการค้าได้อย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะในการให้ความรู้เรื่องกฎระเบียบ และมาตรการทางการค้าของประเทศผู้นำเข้า เพื่อให้ผู้ส่งออกไทยสามารถส่งออกสินค้าได้เต็มศักยภาพ รวมถึงมีการจัดหลักสูตรและ Workshop ในการอบรมเชิงลึกให้แก่ผู้ประกอบการไทย” นายรณรงค์กล่าว
ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยด้านการค้าต่างประเทศ สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วน 1385 หรือเว็บไซต์ www.dft.go.th