กระทรวงคมนาคมร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านคมนาคมและโลจิสติกส์

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในโครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ ระหว่างกระทรวงคมนาคมและสถาบันพระปกเกล้า เพื่อพัฒนาและแลกเปลี่ยน องค์ความรู้อันเป็นประโยชน์

โดยมี นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม หัวหน้าหน่วยงานในสังกัด และผู้แทนจากสถาบันพระปกเกล้าเข้าร่วมพิธี ในวันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2565 ณ หอประชุมราชรถสโมสร กระทรวงคมนาคม

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มุ่งเน้นการปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาของข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยึดมั่นในหลักจริยธรรมและธรรมาภิบาล รวมถึงมีสมรรถนะและความรู้ความสามารถให้พร้อมต่อการปฏิบัติงาน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว กระทรวงคมนาคมจึงได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในโครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำฐานข้อมูลแลกเปลี่ยนข้อมูลพัฒนาองค์ความรู้และพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาธรรมาภิบาลการกำกับดูแลที่ดีของโครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ รวมทั้งการพัฒนาองค์ความรู้อื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน เพื่อพัฒนากลไกในการขับเคลื่อน กำกับดูแล ติดตามประเมินผลโครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ โดยมุ่งเน้นในการสร้างธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลที่ดี เพื่อพัฒนากิจกรรมในการถ่ายทอดความรู้ ยกระดับทักษะและความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน ในขณะที่สถาบันพระปกเกล้าจะดำเนินการจัดเตรียมหลักสูตรที่มีความทันสมัย มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด

สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ มีกำหนดระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี โดยมีขอบเขตความร่วมมือและหน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกัน อาทิ การจัดเตรียมหลักสูตรในการจัดอบรมตามที่โครงการกำหนดให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ให้ความร่วมมือด้านทรัพยากรบุคคลและผู้ทรงคุณวุฒิในการพัฒนาบุคลากร ให้ความร่วมมือด้านทรัพยากร อาคาร สถานที่ในการจัดอบรม และการศึกษาดูงาน จัดสรรค่าใช้จ่ายในการพัฒนาองค์ความรู้ ศึกษาวิจัย ความร่วมมือด้านวิชาการ ด้านทรัพยากร ด้านการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม และความร่วมมือด้านอื่น ๆ