นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ ตรวจติดตามการดำเนินงานของศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุดรธานี (ศวพ.อุดรธานี) สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 กรมวิชาการเกษตร ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุดรธานี (ศวพ.อุดรธานี) ตำบลเมืองเพีย อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ว่า ตามที่ได้มีนโยบายให้หน่วยงานของกรมวิชาการเกษตร เร่งรัดดำเนินการงานวิจัยเพื่อนำผลงานวิจัยไปพัฒนาการผลิตพืชของเกษตรกร ให้เป็นการผลิตที่ปลอดภัย ไม่มีสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน และยกระดับสู่การผลิตแบบอินทรีย์ในกลุ่มเกษตรกรที่มีความพร้อม
รวมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชให้เกษตรกร ตลอดจนได้มอบนโยบายเน้นย้ำให้งานวิจัยต้องตอบโจทย์ความต้องการใช้ของประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่เป็นหลัก ควบคู่ไปกับการวิจัยและพัฒนาด้านวิชาการของกรมวิชาการเกษตรที่เล็งเห็นว่าในพื้นที่มีพืชใดที่เหมาะสม ให้ผลตอบแทนสูง การป้องกันแมลงศัตรูพืชและปุ๋ยที่เหมาะสมกับชนิดพืชเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับการผลิตไปสู่ตลาดคุณภาพและการส่งออกให้ได้เร็วที่สุดโดยกรมวิชาการเกษตรต้องเป็นพี่เลี้ยงให้กับประชาชนเพื่อให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ
สำหรับงานวิจัยที่สำคัญของ ศวพ.อุดรธานี อาทิ มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน ถั่วลิสง และบัวหลวง โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นพืชสร้างรายได้ให้เกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และบริเวณจังหวัดริมแม่น้ำโขง ซึ่งปัจจุบันศวพ.อุดรธานี มีโครงการทดสอบและพัฒนาพืชพลังงานเพื่อผลิตไบโอดีเซลและเอทานอล โดยนำพันธุ์ปาล์มน้ำมันของกรมวิชาการเกษตรทั้ง 6 พันธุ์ คือ พันธุ์สุราษฎร์ธานี 1-6 มาทดสอบปลูกเปรียบเทียบผลผลิต พบว่าให้ผลผลิตดี และในปี 2562- 2564 มีการวิจัยและขยายผลนวัตกรรมการผลิตปาล์มน้ำมันด้วยการจัดการที่เหมาะสมยกระดับผลผลิตโดยการจัดการสวนที่เหมาะสมระดับชุมชนตามศักยภาพพื้นที่ดำเนินการใน 1 ชุมชนต้นแบบ 20 แปลงรวม 100 ไร่ โดยศวพ.อุดรธานี จะแนะนำการปลูกทุกขั้นตอน ส่งผลให้ผลผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้น
“จะเห็นว่าการปลูกพืชเมื่อมีพันธุ์ดีและการแนะนำการปลูกตามหลักวิชาการจะให้ผลผลิตที่สูงขึ้น เช่น ปาล์มน้ำมันที่ผลผลิตสูงขึ้นถึงร้อยละ 19-37 ต่อไร่ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น คือเป้าหมายสำคัญของกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งกรมวิชาการเกษตร ต้องนำผลงานที่ดีเช่นนี้ออกมาแสดงให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงสวนปาล์มหรือสวนเกษตรกรของตนเอง รวมถึงพืชอื่นๆ ต่อไป“ รมช.มนัญญา กล่าว
นอกจากนี้ เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ยังมีการปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเบอร์ 4 และมะม่วงฟ้าลั่นเพื่อส่งออกเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ มีพื้นที่ปลูก 8,000 ไร่ ผลผลิต 6 พันตันต่อปี ได้รับการรับรองแปลงการผลิตที่ดี หรือGAP จำนวน 201 แปลง จำนวน 1,945 ไร่ ซึ่งปี 2564 ส่งออกได้ถึง 1,800 ตัน หรือร้อยละ 30 ของผลผลิต โดยตลาดส่งออก อาทิ ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี จีน ลาว เวียดนาม
จากนั้น ได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลการดำเนินงานของศวพ.อุดรธานี อาทิ โครงการทดสอบและพัฒนาพืชพลังงานเพื่อผลิตไบโอดีเซล โครงการวิจัยพัฒนาและขยายผลนวัตกรรมการผลิตปาล์มน้ำมันด้วยการจัดการสวนที่เหมาะสม โครงการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ โครงการแปลงเรียนรู้เกษตรอัจฉริยะการผลิตมะม่วงนอกฤดูจังหวัดอุดรธานี งานผลิตพันธุ์พืช การขยายผลชีวภัณฑ์สู่กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ จ.อุดรธานี โครงการศูนย์สาธิตการพัฒนาเกษตรแบบผสมผสานบ้านยามกาน้อย อันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ งานสารวัตรเกษตร เป็นต้น
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า นอกจากนี้ ศวพ.อุดรธานี ยังผลิตพืชพันธุ์ดีของกรมวิชาการเกษตร 2 ชนิด ได้แก่ อ้อยพันธุ์ขอนแก่น 3 และถั่วลิสงพันธุ์ไทนาน 9 และพันธุ์ขอนแก่น 6 กระจายให้เกษตรกรในพื้นที่ นำไปปลูกได้เป็นพื้นที่กว่า 900 ไร่ รวมทั้งผลิตชีวภัณฑ์ จำนวน 6 ชนิด เพื่อให้เกษตรกรใช้ทดแทนสารเคมี อย่างไรก็ตาม นอกจากงานวิจัยแล้ว กรมวิชาการเกษตร ยังได้มีนโยบายที่จะให้นำสวนยางพารา ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นเข้าโครงการคาร์บอนเครดิต เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราอีกทางหนึ่ง เบื้องต้นได้หารือกับศวพ.หนองคาย ซึ่งมีพื้นที่ปลูกยางประมาณ 69,588 ไร่ เพื่อหาแนวทางที่จะนำพื้นที่สวนยางพาราในจังหวัดเข้าโครงการดังกล่าว
โอกาสนี้ รมช.มนัญญา ยังได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานที่จัดงานมหกรรมพืชสวนโลก ณ พื้นที่สาธารณประโยชน์หนองแด อำเภอเมืองอุดรธานี ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับจังหวัดอุดรธานี เตรียมการจัดงานดังกล่าว โดยมี นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ให้การต้อนรับ ซึ่งเชื่อมั่นว่าการจัดงานครั้งนี้จะประสบความสำเร็จอย่างดี ทำให้เกิดสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ และจะช่วยสร้างเศรษฐกิจ อาชีพ และรายได้ที่ดีให้กับชาวจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดข้างเคียง.