ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ ๔/๒๕๖๕

วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๐๐ น. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา  นาคาศัย) ประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๕โดยเป็นการประชุมผ่านระบบออนไลน์

จากการประชุมได้มีมติให้ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ จำนวน ๓ เรื่อง  (ประเภทห้องชุดคอนโดมิเนียม) ธุรกิจด้านสินค้าและบริการทั่วไป จำนวน ๓ เรื่อง (นำรถยนต์เข้าซ่อมในอู่เข้าพักที่โฮมสเตย์ และซื้อคอร์สฉีดโบท็อก) รายละเอียด ดังนี้

ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์  จำนวน ๓ เรื่อง

กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด กับบริษัทแห่งหนึ่ง ในราคา ๓,๒๓๖,๔๐๐ บาท โดยชำระเงินจอง จำนวน ๕,๐๐๐ บาท เงินทำสัญญา จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท และเงินดาวน์ ๑๒ งวด รวมเป็นเงิน ๔๗,๘๘๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๒,๘๘๐ บาท เมื่อถึงกำหนดการโอนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย ปรากฏว่าบริษัทฯ ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ประกอบกับผู้บริโภคได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและบริษัทฯ ได้ตกลงยกเลิกสัญญาดังกล่าวและยินดีคืนเงินทั้งหมดแต่เมื่อถึงกำหนดบริษัทฯ ปฏิเสธที่จะคืนเงิน จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้กับผู้บริโภค จำนวน ๖๒,๘๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกับบริษัทแห่งหนึ่ง ในราคา ๘๑๙,๐๐๐ บาท โดยผู้บริโภคได้ชำระเงินจอง จำนวน ๓,๐๐๐ บาท เงินทำสัญญาจำนวน ๕,๐๐๐ บาท และเงินดาวน์ จำนวน ๑๐ งวด เป็นเงินจำนวน ๔๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๓,๐๐๐ บาท โดยขณะทำสัญญาจะซื้อจะขาย ผู้บริโภคอ้างว่าตัวแทนของบริษัทฯ ได้ให้คำมั่นหรือคำรับรองว่า ในกรณีสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อจะคืนเงินให้เต็มจำนวน ต่อมาผู้บริโภคไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน จึงติดต่อบริษัทฯ เพื่อขอรับเงินที่ชำระไปแล้วทั้งหมด จำนวน ๕๓,๐๐๐ บาท คืน แต่ได้รับการปฏิเสธ จากกรณีที่ผู้บริโภคไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อ ตามกฎหมายบริษัทฯ มีสิทธิ์ริบได้เฉพาะจองและเงินทำสัญญา ส่วนเงินดาวน์ จำนวน ๔๕,๐๐๐ บาท ไม่ใช่เงินมัดจำที่บริษัทฯ มีสิทธิริบได้ ดังนั้น บริษัทฯ จึงต้องคืนเงินดาวน์ พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย อีกทั้ง เมื่อบริษัทฯ เสนอคืนเงิน จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท และผู้บริโภคไม่รับข้อเสนอดังกล่าว การกระทำของบริษัทฯ จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้กับผู้บริโภค จำนวน ๔๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกับบริษัทแห่งหนึ่ง ในราคา ๓,๑๙๙,๐๐๐ บาท ได้ชำระเงินจองจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท เงินทำสัญญาจำนวน ๒๖๙,๙๐๐ บาท และเงินดาวน์ จำนวน ๗๙๙,๗๖๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๑๑๙,๖๖๐ บาท เมื่อถึงกำหนดสัญญาปรากฏว่า บริษัทฯ ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ผู้บริโภคจึงขอยกเลิกสัญญาและขอเงินที่ชำระไปแล้วทั้งหมดคืนพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย และเมื่อบริษัทฯ เสนอคืนเงินให้กับผู้บริโภคโดยไม่มีดอกเบี้ย ถือว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้ยกเลิกสัญญาที่มีต่อกันแล้ว แต่ละฝ่ายต้องกลับคืนสู่สถานะเดิมตาม เมื่อบริษัทฯ เสนอคืนเงินให้กับผู้ร้องโดยไม่มีดอกเบี้ย จึงถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิผู้ร้อง ซึ่งเป็นผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้กับผู้บริโภค จำนวน ,๑๑๙,๖๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านสินค้าและบริการทั่วไป จำนวน ๓ เรื่อง

กรณีผู้บริโภคได้นำรถยนต์ ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-MAX เข้าซ่อมกับอู่แห่งหนึ่ง โดยมีเจ้าของอู่เป็นผู้ประเมินค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถยนต์คันดังกล่าว เป็นเงินจำนวน ๖๒,๐๐๐ บาท ซึ่งผู้บริโภคได้ชำระเงินค่าซ่อมให้แก่เจ้าของอู่ไปแล้ว ต่อมาได้ทวงถามวันกำหนดซ่อมรถยนต์แล้วเสร็จ  ซึ่งทางอู่ไม่ดำเนินการซ่อมรถยนต์ให้ในเวลา  อีกทั้งยังได้รื้อเครื่องยนต์ของรถยนต์เป็นเหตุให้อะไหล่และอุปกรณ์ภายในรถยนต์สูญหายไป ซึ่งมีค่าเสียหายในส่วนนี้รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๑๒๖,๓๓๐ บาท ประกอบกับผู้บริโภคได้พยายามติดตามทวงถามถึงกำหนดวันซ่อมรถยนต์ให้แล้วเสร็จเรื่อยมาแต่ไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใดและไม่สามารถติดต่อเจ้าของอู่ได้อีก การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่เจ้าของอู่ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้กับผู้บริโภค จำนว๑๘๘,๓๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

กรณีผู้บริโภคได้เข้าพักที่โฮมสเตย์แห่งหนึ่ง ซึ่งได้เข้าใช้บริการเครื่องเล่นของโฮมสเตย์ฯแต่ระหว่างที่เล่นเครื่องเล่นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ปล่อยตัวผู้บริโภคลงจากเครื่องเล่นในขณะที่ยังไม่ได้เตรียมตัว เป็นเหตุให้ช็อกจนหายใจไม่ออก ควบคุมการหายใจไม่ได้ มือเท้าชา ปากสั่น และหน้าซีดแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโฮมสเตย์ฯ ไม่สนใจหรือติดตามอาการ และไม่มีการปฐมพยาบาลหรือส่งเข้าตรวจที่โรงพยาบาลแต่อย่างใด

ดังนั้น จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค เมื่อผู้ร้องได้ไปพบแพทย์คลินิกสุขภาพจิตที่โรงพยาบาลอ่างทอง และโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ให้ความเห็นว่าสมควรให้มารักษาต่อเนื่องจึงประสงค์เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน ๑๐๒,๐๐๐ บาท ซึ่งโฮมสเตย์ดังกล่าวได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและมีมาตรการจัดการพนักงานที่ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายและต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ดังนี้ ๑. ค่ารักษาพยาบาล เป็นเงินจำนวน ๑๘,๐๐๐ บาท ๒. ค่าเดินทางไปโรงพยาบาล เป็นเงินจำนวน ๑๒,๐๐๐ บาท และ ๓. ค่าชดเชยในการหยุดงานเพื่อไปพบแพทย์ เป็นเงินจำนวน  ๑๒,๐๐๐ บาท มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่โฮมสเตย์ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้กับผู้บริโภค จำนวน ๔๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

กรณีผู้บริโภคได้ซื้อคอร์สฉีดโบท็อกกับคลินิกแห่งหนึ่ง ในจังหวัดนครราชสีมา เป็นเงินจำนวน ๓๕,๐๐๐ บาท โดยทางคลินิกฯ แจ้งว่า จะได้รับวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมา คลินิกฯ ได้ชักชวนผู้บริโภคซื้อคอร์สกำจัดขน จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท และชักชวนให้เพิ่มวงเงินอีก ๓๐,๐๐๐ บาท  เพื่อเป็นคอร์สบุฟเฟต์ หลังจากนั้น คลินิกฯ ได้ปิดกิจการ  ทำให้ผู้บริโภคเข้าใช้บริการที่ สาขากรุงเทพฯ โดยคลินิกฯ สาขากรุงเทพฯ ได้ชักชวนให้ซื้อคอร์สฉีดโบท็อกเพิ่มเป็นเงินจำนวน ๓๕,๐๐๐ บาท โดยสามารถใช้บริการได้ในวงเงิน ๑๓๐,๐๐๐ บาท และเสนอว่าหากจ่ายเงินเพิ่มอีก ๑๐,๐๐๐ บาท จะเปลี่ยนเป็นคอร์สกำจัดขนแบบสปาตัวได้ ในวงเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท

ต่อมาเกิดโรคระบาดไวรัสโควิด ๑๙ ผู้บริโภคจึงได้ติดต่อที่คลินิกฯ สาขากรุงเทพฯ เพื่อจะเข้าไปใช้บริการ ซึ่งพนักงานแจ้งว่าคลินิกฯ ได้เปลี่ยนผู้บริหารใหม่และไม่รับผิดชอบใด ๆ กับลูกค้าที่ซื้อคอร์สเสริมความงามกับผู้บริหารชุดเก่า  หากต้องการใช้บริการจะต้องจ่ายเงินค่าคอร์สเสริมความงามเพิ่ม จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท กรณีดังกล่าวเป็นการปฏิเสธการให้บริการที่บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องให้บริการแก่ผู้บริโภคตามสัญญา ไม่สามารถอ้างต่อผู้บริโภคในฐานะผู้รับบริการได้  ถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบของบริษัทฯ ดังนั้น การที่บริษัทฯ ไม่สามารถให้บริการได้ จึงเป็นการผิดสัญญาอันละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งคลินิก เพื่อบังคับให้คืนเงินให้ผู้บริโภค จำนวน ๓๑,๔๑๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

ทั้งนี้  ในการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ ๔/๒๕๖๕ ได้มีการดำเนินคดีแพ่งแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค รวมจำนวน ๖ ราย โดยบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจคืนเงินให้กับผู้บริโภค เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น  ๑,๔๘๙,๒๘๔ บาท (หนึ่งล้านสี่แสนแปดหมื่นเก้าพันสองร้อยแปดสิบสี่บาทถ้วน) พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย