ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานในพิธีเปิดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน ครั้งแรกของประเทศไทย

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพื่อเปิดให้ผู้ที่สนใจร่วมทำประโยชน์แก่สังคม ร่วมประมูล และได้ครอบครองป้ายทะเบียนรถที่มีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร โดยมี นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมในพิธี ในวันที่ 7 เมษายน 2565 ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ (รางน้ำ) และทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.tabienrod.com

ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การบริหารงานของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดให้การสร้างความปลอดภัยทางถนนเป็นวาระแห่งชาติ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการการขับเคลื่อนสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โดยรัฐบาลยังมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งโอกาส มีความเสมอภาค และเท่าเทียมกันในทุก ๆ ด้าน โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งกระทรวงคมนาคมโดย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ตอบรับนโยบายดังกล่าว และให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการป้องกัน รวมถึงการลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุทางถนน และช่วยเหลือผู้พิการจากอุบัติเหตุทางถนน ผ่านโครงการต่าง ๆ มากมาย ซึ่งการดำเนินงานได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) เป็นสำคัญ ทั้งนี้จากรายงานการดำเนินงานที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเงินกว่า 16,300 ล้านบาท

สำหรับการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษในครั้งนี้ เป็นนโยบายใหม่ของกระทรวงฯ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อภารกิจของ กปถ. ในการสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของประชาชน จึงได้มอบนโยบายให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) พิจารณาการจัดให้มีแผ่นป้ายทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ และนำออกประมูลเป็นการทั่วไป เพื่อนำเงินรายได้จากการประมูลไปใช้ในกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของประเทศที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ประชาชนที่ต้องการเลขทะเบียนรถแบบพิเศษ สามารถเสนอคำหรือข้อความที่ต้องการเป็นชื่อหมวดของแผ่นป้ายทะเบียนรถได้ เช่นเดียวกับรูปแบบของป้ายทะเบียนรถในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของการประมูลหมายเลขทะเบียนรถในไทย คาดว่าจะช่วยสร้างรายได้และเพิ่มความเข้มแข็งให้กับ กปถ. ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ขบ. ได้นำหมายเลขทะเบียนรถซึ่งเป็นที่ต้องการหรือเป็นที่นิยมของประชาชนออกประมูลเป็นการทั่วไปมาตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นอย่างมาก และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเงินที่ได้จากการประมูลทั้งหมดได้นำเข้าเป็นรายได้ของ กปถ. เพื่อนำไปสนับสนุนเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการที่ประสบภัยจากการใช้รถใช้ถนน และจัดสรรเป็นทุนสนับสนุนและส่งเสริมด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนต่อไป

ในส่วนของผลการประมูลทะเบียนรถเลขสวยลักษณะพิเศษครั้งแรกของประเทศในวันนี้ หมายเลขที่ได้รับความนิยมจากผู้สนใจ สูงสุด คือ หมายเลขทะเบียน รวย 9999 มีผู้ประมูลร่วมเสนอราคาถึง 424 ครั้ง และได้ผู้ชนะประมูล ในราคา 18,560,000 บาท รองลงมา ได้แก่ หมายเลข เศรษฐี 1 ประมูลได้ในราคา 15,040,000 บาท และหมายเลข สวย 1 ประมูลได้ในราคา 13,000,000 บาท

ทั้งนี้ การจัดประมูลทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษของกรุงเทพมหานคร พบว่า มีการประมูลหมายเลขทะเบียนรถที่มีลักษณะพิเศษ ในวันแรกทั้งหมด 63 หมายเลข และได้นำรายได้เข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนทั้งสิ้น 282,170,000 บาท

โดยจะมีการประมูลอีกครั้ง อีก 19 หมายเลข ในวันที่ 22 เม.ย. 2565 เวลา 13.00 น. ณ อาคาร 6 ชั้น 7 กรมการขนส่งทางบก โดยรูปแบบตัวแผ่นป้ายทะเบียนมีพื้นผิวเรียบ ไม่มีรอยดุนนูน มีลายกราฟิกสีสันสวยงาม และยังคงรายละเอียดด้านความปลอดภัยเหมือนแผ่นป้ายประมูลปกติ โดยแผ่นป้ายเป็นเนื้อเดียวกันกับวัสดุสะท้อนแสงตลอดทั้งแผ่น และสิ่งที่ใช้พิมพ์ต้องเป็นสีโปร่งแสง มีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 5 ปี ไม่หลุดลอกและเมื่อใช้แสงไฟส่องแผ่นป้ายในที่มืดต้องสามารถมองผ่านสีพิมพ์ เพื่อเกิดความส่องสว่างสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน สีโปร่งแสงสามารถตรวจสอบโดยใช้กล้องที่มีกำลังขยายที่เพียงพอมองผ่านแล้วเห็นเม็ดลูกแก้วหรือโครงสร้างประเภทไมโครปริซึม และถ้าใช้ไฟฉายส่องในที่มืดแล้วสามารถสะท้อนให้เห็นความสว่างได้

นอกจากนี้รายได้ทั้งหมดจากการประมูลบางส่วนจะมีการจัดสรรเงินให้กับหน่วยงานต่าง ๆในการดำเนินการโครงการเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และดูแลผู้พิการที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุทางถนนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อันจะช่วยสนับสนุนในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และส่งเสริมการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนสืบไป