ค้านนำเข้าหมู คนไทยเสี่ยง เกษตรกรช้ำ

สถานการณ์ราคาหมูในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นการทำงานของกลไกตลาดได้อย่างชัดเจน  ซึ่งราคาหมูเนื้อแดงขณะนี้ได้ปรับลงมาอยู่ที่ 170 บาทต่อกิโลกรัม จากราคาได้ปรับสูงในช่วงปีใหม่อยู่ที่ 220 บาทต่อกิโลกรัม    โดยผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศได้ร่วมกันรักษาระดับราคาหมูขุนมีชีวิตหน้าฟาร์มมาอย่างต่อเนื่อง ตามประกาศราคาแนะนำของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 94 – 97 บาทต่อกิโลกรัม  ซึ่งผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศร่วมกันรักษาระดับราคามาอย่างต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 6 เพื่อร่วมช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค

การปรับลดราคาที่เกิดขึ้นดังกล่าว  เป็นผลจากปริมาณสุกรที่กลับมาสู่จุดสมดุลกับการบริโภค  แต่ก็มีความพยายามผลักดันให้ประเทศไทยเปิดนำเข้าเนื้อหมูจากต่างประเทศจากผู้ประกอบการหลายราย  ซึ่งเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืนยันว่า ยังไม่มีนโยบายนำเข้าสุกรจากต่างประเทศ จึงเป็นนโยบายที่ถูกต้อง  เนื่องจากขณะนี้ปริมาณเนื้อหมูในประเทศมีเพียงพอกับความต้องการ ที่สำคัญราคาหมูหน้าฟาร์มและหน้าเขียงก็ลดลงดังที่กล่าวข้างต้น

ขณะที่ฟากผู้เลี้ยงหมูไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และจัดเป็นข้อกังวลอย่างยิ่ง สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ  นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ได้ย้ำเรื่องการนำเข้าหมูว่า การไม่ให้นำเข้าจะเป็นแรงจูงใจสำคัญให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงหมู  เพื่อเพิ่มปริมาณหมูเข้าสู่ระบบ  การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืนนโยบายไม่นำเข้าหมูจากต่างประเทศจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

เนื่องจากหากเปิดให้มีการนำเข้าหมูจากต่างประเทศ อย่างแรกคือ จะทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไม่กล้าที่จะกลับเข้าสู่ระบบ  นั่นหมายความว่าจะไม่มีวันที่การเลี้ยงหมูของไทยจะฟื้นตัวได้  และเมื่อเปิดให้มีการนำเข้าแล้ว อย่าคาดหวังว่า จะสามารถจำกัดปริมาณการนำเข้าได้

ขนาดว่า ภาครัฐยังไม่มีการอนุญาตให้นำเข้า  ยังเห็นการลักลอบนำเข้าหมูเป็นระยะ โดยสำแดงเป็นรายการสินค้าประเภทอื่น  ล่าสุด ได้มีการจับกุมการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูแช่แข็งรวม 945 กล่อง น้ำหนัก 21 ตัน  ไม่มีเอกสารการนำเข้าจากกรมปศุสัตว์  โดยมีการขนถ่ายที่ท่าเทียบเรือแห่งหนึ่งในพื้นที่ภาคตะวันออก และเก็บที่ห้องเย็นในพื้นที่จ.สมุทรสาคร

ดังนั้น หากมีนโยบายนำเข้า พร้อมจำกัดปริมาณนำเข้า  ก็ยังไม่อาจมั่นใจว่า การนำเข้าหมูจะเป็นไปตามปริมาณที่กำหนด  แน่นอนว่าจะมีการนำเข้ามาเกินกว่าที่กำหนด  ประเด็นที่เกิดขึ้นตามมาย่อมกระทบต่อราคาหมูในประเทศ รวมถึงความมั่นคงในอาชีพของเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู นั่นเท่ากับเป็นการทำลายอาชีพเกษตรกร และกลไกการเลี้ยงหมูของไทย  รวมทั้งเปิดรับโรคประจำถิ่นที่มีในแต่ละประเทศให้เข้ามาด้วย

ไม่เพียงเกษตรกรผู้เลี้ยงที่ต้องบอบช้ำกับผลกระทบที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนไทยผู้บริโภคก็พลอยมีความเสี่ยงที่จะได้รับอาหารที่ปนเปื้อนจากสารต้องห้ามอย่างสารเร่งเนื้อแดง ที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพ

จากกรณีของหมูที่เกิดขึ้นนี้  จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขร่วมกันอย่างจริงจังทั้งระบบ  ให้ภาคการเลี้ยงสามารถก้าวเดินต่อได้ อาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง  ผู้บริโภคมีอาหารปลอดภัย  ประเทศมีความมั่นคงทางอาหาร./