9 ธันวาคม 2564, กรุงเทพมหานคร – ดีป้า เผยผลสำรวจข้อมูลและประเมินสถานภาพอุตสาหกรรมบิ๊กดาต้า ปี 2563 ชี้ภาพรวมอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 3.99 โดยมี COVID-19 เป็นตัวเร่งให้พฤติกรรมผู้ใช้บริการบิ๊กดาต้าในการใช้งานข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ขณะที่ผู้พัฒนาและผลิตเทคโนโลยีต้องปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มการให้บริการบิ๊กดาต้าบนคลาวน์เพิ่มขึ้น ขณะที่คาดการณ์แนวโน้ม 3 ปี อุตสาหกรรมจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2564-2565 โดยผู้ประกอบการเริ่มให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ และเพิ่มการรักษาความปลอดภัยให้กับดาต้า หลัง ‘พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล’ จะมีผลบังคับใช้ในปี 2565 จากนั้นแนวโน้มการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมจะเริ่มทรงตัวในปี 2566 เพราะมีการจัดเตรียมโครงการบิ๊กดาต้าในหลายภาคส่วนช่วงปีที่ผ่านมา
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ร่วมกับ บริษัท แอทไวส คอนซัลติ้ง จำกัด เผยผลสำรวจข้อมูลและประเมินสถานภาพอุตสาหกรรมบิ๊กดาต้า ประจำปี 2563 และคาดการณ์แนวโน้ม 3 ปี โดยครอบคลุมมูลค่าอุตสาหกรรมตามประเภทเทคโนโลยี ผู้ประกอบการ และกลุ่มอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าขยายตัวต่อเนื่อง ควบคู่กับการให้บริการบนคลาวด์ ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบิ๊กดาต้า ปี 2563 ขยายตัวร้อยละ 3.99 จากปีก่อน มีมูลค่าอุตสาหกรรมอยู่ที่ 13,703 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าจากตลาดฮาร์ดแวร์ (Hardware) 1,610 ล้านบาท ตลาดซอฟต์แวร์ (Software) 4,176 ล้านบาท งานบริการด้านไอทีและธุรกิจ (IT/Business Service) 7,917 ล้านบาท ซึ่งอุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องไปพร้อมกับการให้บริการบนคลาวด์
“สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้ใช้บริการบิ๊กดาต้าในการใช้งานข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ผู้ให้บริการจำเป็นต้องมีการจัดเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้นในปริมาณมาก และสามารถนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผลและปรับใช้ได้ทันท่วงที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้พัฒนาและผลิตเทคโนโลยี (Technology Vendor) ต้องปรับเปลี่ยนแพลตฟอร์มการให้บริการบิ๊กดาต้าบนคลาวน์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดซอฟต์แวร์ และงานบริการยังคงเติบโตต่อเนื่อง เพราะยังมีการนำข้อมูลเข้ามาผ่านการประมวลผล เพื่อนำไปใช้งานต่อไป” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
คาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมบิ๊กดาต้า 3 ปีจากนี้ ดีป้า ประเมินว่า อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้ามีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 0.19 และ 0.08 โดยมีมูลค่าอุตสาหกรรมอยู่ที่ 13,728 ล้านบาท และ 13,738 ล้านบาทในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ โดยผู้ประกอบการจะเริ่มให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ และเพิ่มการรักษาความปลอดภัยให้กับดาต้า หลัง ‘พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล’ (Personal Data Protection Act: PDPA) จะมีผลบังคับใช้ในปี 2565 จากนั้นแนวโน้มการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมจะเริ่มทรงตัวในปี 2566 เนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมามีการจัดเตรียมโครงการบิ๊กดาต้าในหลายภาคส่วน ซึ่งคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตจะหดตัวเฉลี่ยร้อยละ 2.00 และมีมูลค่าอุตสาหกรรมอยู่ที่ 13,474 ล้านบาท
“ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีบิ๊กดาต้ามาประยุกต์ใช้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสินค้าและบริการมากขึ้น แม้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่บิ๊กดาต้ายังเปิดโอกาสให้หลายอุตสาหกรรมเติบโต ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมการเงินและการประกันภัย อุตสาหกรรมค้าส่งและค้าปลีก อุตสาหกรรมการผลิต ทั้งหมวดสินค้าอุปโภคและบริโภค อุตสาหกรรมการขนส่ง และภาคการศึกษา รวมถึงการสนับสนุนโครงการต่าง ๆ
จากภาครัฐในการจัดเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และนำข้อมูลไปใช้ พร้อมกันนี้ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีแนวโน้มหันมาใช้เทคโนโลยีบิ๊กดาต้าในการรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งการทำงานจะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเมื่อทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอื่น อาทิ AI, IoT, Machine Learning และ 5G เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้บริโภค พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
ทั้งนี้ ดีป้า หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลสำรวจข้อมูลและประเมินสถานภาพอุตสาหกรรมบิ๊กดาต้า ประจำปี 2563 และคาดการณ์แนวโน้ม 3 ปีจะเป็นประโยชน์ในการใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ตัดสินใจวางแผนธุรกิจ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่ยังไม่เห็นบทสรุป และสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลของรัฐบาลในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ต่อไป

