บพท. ร่วมกับ มน. จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการการเชื่อมโยงกรอบแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF) กับการพัฒนาโมดลแก้จน

วันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2564 บพท. ร่วมกับ มน. จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการการเชื่อมโยงกรอบแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF) กับการพัฒนาโมดลแก้จน ณ ห้องประชุม 301 อาคารเอกาทศรถ มหาวิทยาลัยนเรศวร อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริสมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน พัฒนาออกแบบโมเดลแก้จนโดยการเชื่อมโยงกับระบบข้อมูล PPPconnext รวมถึงการพัฒนากรอบการประเมินผลตอบแทนทางสังคมตามแนวทางการดรัพอย่างยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวน 70 คน ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่หน่วย บพท. ผู้แทน พอช.  นักวิจัยโครงการส่วนกลาง และทีมวิจัยในระดับพื้นที่เป้าหมาย 4 จังหวัดภาคเหนือ (แม่ฮ่องสอน ลำปาง พิษณุโลก และชัยนาท) ได้รับเกียรติจากนายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ร่วมเป็นประธาน

นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวว่า ต้องขอบคุณ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ได้ทำความรวมมือกับมหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ดำเนินการใน จ.พิษณุโลก ที่ถือเป็นจังหวัดหนึ่งที่ได้ดำเนินการโครงการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาคนจนอย่างเบ็ดเสร็จและแม่นยำ นับว่าหลายรัฐบาลมีนโยบาบและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมีปัญหาในเรื่องความยากจนที่เปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของกะแสสังคมเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งหนึ่งที่เรามักจะคิดกันคือ จะแก้จนมักจะค้นหาว่าคนจนอยู่ตรงไหน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ดำเนินการไว้ และมีโครงกรที่รัฐบาลดำเนินการอยู่เช่นกัน คือ โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยได้นำข้อมูลจากกระทรวงหรือของหน่วยงานต่างๆ มาดำเนินการ ได้จำนวนครัวเรือนยากจนอยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งข้อมูลดังกล่าว อย่างน้อยเป็นฐานกลุ่มเป้าหมาย แต่ก็ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาโดยตรงทั้งหมด

“จังหวัดพิษณุโลก ได้มีการดำเนินการสำรวจข้อมูลและทบทวนข้อมูลจากฐาน TP MAP ว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นเป็นผู้มีปัญหาความยากจนจริงหรือไม่ ทางมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ร่วมกับ บพท. ดำเนินการภายใต้โครงการดังกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนให้เกิดโมเดลที่ยั่งยืน เช่นเดียวกับนโนบายของรัฐบาล มี 2 อำเภอนำร่องใน จ.พิษณุโลก คือ อ.เนินมะปราง และ อ.บางระกำ มีกระบวนการทำวิจัยและการลงพื้นที่ แล้วสร้างโมเดลขึ้นมา เพื่อเกิดการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน และคิดว่าจังหวัดนำร่องนี้ จะเป็นจังหวัดที่ได้ประโยชน์ มีความหลากหลายในการดำเนินการในการแก้ไขปัญหาความยากจน ที่สามารถนำไปใช้ในพื้นที่อื่นๆ ได้ อย่างไรก็ตามคิดว่าหากดำเนินการได้บรรลุ จะทำให้ปัญหาความยากจนนั้นจะลดลงได้”

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กาญจนา เงารังษี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า การพัฒนาโมเดลแก้จนในวันนี้ งานวิจัยถือเป็นพันธกิจหนึ่งของมหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งเรามีเป้าหมายที่จะเป็น “มหาวิทยาลัยวิจัยและนวัตกรรม” (Research and Innovation-base University) ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับและสร้างผู้นำทางการวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ และด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งโครงการการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำภาคเหนือตอนล่าง ถือเป็นการบูรณาองค์ความรู้ และรวมนักวิจัยจากหลากหลายด้านหลายศาสตร์

“มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำภาคเหนือตอนล่าง กรณีศึกษาจังหวัดพิษณุโลก ร่วมกับจังหวัดพิษณุโลก และหน่วยงานภาคีเครือข่าย จำนวน 12 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ไปเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา เป็นการบูรณาการประสานความร่วมมือจากหน่วยงาน ทุกภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนให้ครอบคลุมในทุกมิติแบบองค์รวม และให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง ให้สามารถอยู่ในครอบครัวได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป”

ดร.กิตติ  สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) บรรยาย ถึง“ทิศทางการพัฒนาโมเดลแก้จนตามกรอบแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF)ว่า ในการดำเนินงานดังกล่าวได้ใช้โมเดลการแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศจีน ที่มีการทำสำมะโนครัวครัวเรือนยากจนและสำรวจข้อมูลทุนพื้นฐาน ศึกษาบริบทพื้นที่วิเคราะห์ปัญหา การขับเคลื่อนของหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งทำให้เกิดการพัฒนาพื้นที่อย่างเป็นระบบ ส่งผลให้เกิดการแก้ไขปัญหาความยากจนจากระดับท้องถิ่นสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนจนอย่างตรงเป้าในระดับประเทศ เมื่อเราพบว่าคนจนอยู่ที่ไหน จึงนำมาสู่โมเดลแก้จน มีการดำเนินการผ่านกลไกความร่วมมือภาครัฐ เอกชน และมีภาควิชาการเป็นหางเสือ เพื่อวิเคราะห์บริบท ความรู้ นวัตกรรม เป็นการพัฒนาพื้นที่ เพื่อหมุนเกลียวกลไกความร่วมมือ เป็นเป้าประสงค์ของการพัฒนาเชิงพื้นที่

“ในช่วงที่ผ่านมา บพท. มีการทบทวนนโยบายของประเทศไทย และกำหนดโจทย์ในการดำเนินการคือการทีบทเรียนและความรู้ ที่เราจะโฟกัสในการดำเนินการ เพราะจะไม่ให้เกิดการทำซ้ำ และการทำซับซ้อนกับหน่วยงานอื่น โมเดลประเทศจีน การแก้ไขความยากจน จะต้องเน้นการแก้ไขที่สั้นและแม่นยำที่สุด จะทำให้การช่วยเหลือนั้นบรรลุ จากการสังเคราะห์โมเดลแก้จนของจีน พบว่า 1) มีการดำเนินการสำรวจสัมมะโนประชาการ 2) การออกแบบการช่วยเหลือลงลึกในระดับครัวเรือน ซึ่งในประเทศไทยยังไม่สามารถที่จะเข้าไปช่วยเหลือในระดับครัวเรือน 3) การช่วยเหลือ ต้องสอดคล้องกับบริบททุน ของประเทศจีนจะยกรายครัวเรือนทั้งชุมชน 4) มีระบบมอร์นิเตอร์ มีการวางนโยบายระดับรัฐกลาง และรัฐท้องถิ่น เช่น 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนยากจน เป็นการทำงานเชิงรุก ที่จะดำเนินการได้อย่างบรรลุ ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายนั้นออกไปแล้ว”

ในการดำเนินโครงการมีระบบข้อมูลคนจนเพื่อแก้ไขปัญหาคนจนของประเทศไทย โดยใช้ฐานข้อมูล TPMAP ที่เป็นระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า และมีระบบแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำระดับจังหวัด มีการค้นหาและสอบทานข้อมูลครัวเรือนยากจน มีกลไกระดับพื้นที่ และมีแผนพัฒนาระดับพื้นที่/ท้องถิ่น และการส่งต่อความช่วยเหลือและออกแบบโมเดลแก้จนระดับครัวเรือน และมีระบบวิเคราะห์ปัญหาและฐานทุนครัวเรือนยากจน ที่เชื่อถือว่าเป็นการช่วยเหลือต่อเนื่องและยั่งยืนได้ ที่ให้ครัวเรือนยากจนแก้ไขปัญหาของเขาอย่างต่อเนื่อง

“เราพบว่าพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ จะมีการโชว์ข้อมูลในการช่วยเหลือ แต่ยังไม่เห็นการช่วยเหลือในครัวเรือน ซึ่งความยากจนส่วนมากมี 2 มิติ คือ 1) เป็นความจนจากพฤติกรรมของเขาเอง 2) ความจนจากปัจจัยภายนอก ที่เกิดปัจจัยการกดทับจากปัญหาเศรษฐกิจ สังคม หรือหมายรวมถึงความจนซ้ำซาก ซึ่งการแก้ไขคือ จะต้องให้คนใดคนหนึ่งในครอบครัวนั้นเข้าถึงระบบการช่วยเหลือ เช่น ให้เข้าถึงระบบการศึกษา หรือพัฒนาอาชีพ เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือ และครอบครัวดังกล่าวจะมีชีวิตี่ดีขึ้น” ผอ.บพท.กล่าว

ผลการดำเนินงานการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการแก้ปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ 20 จังหวัด จะต้องถูกผลักดันและขยายต่อ คือ ส่วนที่ 1 การผลักดันไปสู่ภาครัฐทั้งระดับส่วนกลาง และพื้นที่ ที่มีสถาบันการศึกษาดำเนินการและมีกลไกการดำเนินการในระดับพื้นที่  และทำให้กลไกเกิดการบูรณาการอย่างแท้จริง ส่วนที่ 2 ระบบข้อมูลครัวเรือนยากจนจากพื้นที่ พบว่าข้อมูลครัวเรือนยากจน ที่มหาวิทยาลัยดำเนินการร่วมกับชุมชน ทำให้เกิด Big data ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เช่น ปัจจุบันมีกลุ่มเป้าหมายจากฐาน TP MAP จำนวน 239,100 คน ซึ่งมีการเก็บข้อมูลในพื้นที่ จำนวน 602,774 คน และเกิดการช่วยเหลือส่งต่อในระดับพื้นที่ จากกลไกความร่วมมือ ทั้ง พมจ. พส. ตอนนี้ช่วยเหลือแล้วกว่า 15,000 ครัวเรือน รวม 46,190 คน ส่วนที่ 3 การวิเคราะห์ปัญหาและฐานทุนครัวเรือนยากจน (PPP Connext)  เวลาพูดถึงวัฎจักรความยากจนจะต้องพูดถึงระดับครัวเรือน หรือหากวิเคราะห์ถึงระดับชุมชน หมู่บ้าน จะทำให้เกิดภาพทั้งระบบ ที่จะทำให้การจัดทำแผนเพื่อดำเนินการได้ทั้งระบบ สิ่งที่พบอีกประการคือ จะต้องมีการประมวลผลและจำแนก “คนจนเป้าหมาย” และสงเคราะห์และให้การช่วยเหลือ ซึ่งระบบส่งต่อความช่วยเหลือระดับส่วนกลางและพื้นที่ เกิดระบบส่งต่อความช่วยเหลือระดับส่วนกลาง มีคนจนได้รับความช่วยเหลือไปแล้ว 5,454 ครัวเรือน (พอช. 744 ครัวเรือน พช. 149 ครัวเรือน พมจ. 3,439 ครัวเรือน อบจ. 1,016 ครัวเรือน พส. 84 ครัวเรือน กสศ. 22 ราย) คิดเป็นงบประมาณทั้งสิ้น 21,062,000 บาท และเมื่อรวมความช่วยเหลือที่บรรจุในแผนโครงการบ้านพอเพียง พอช. 9,877 ครัวเรือน คิดเป็นงบประมาณ 177,786,000 บาท (จากฐานคำนวณความช่วยเหลือการสร้างบ้านหลังละ 18,000 บาท) รวมคนจนที่ได้รับความช่วยเหลือทัง้ สิ้น 15,331 ครัวเรือน คิดเป็นงบประมาณรวมทั้งสิ้น 198,848,000 บาท

วงเสวนา การพัฒนาเครื่องมือ ระบบค้นหาสอบทาน ระบบส่งต่อ ระบบป้อนกลับ และการพัฒนาโมเดลแก้จน

ดร.แมน ปุโรทกานนท์  หัวหน้าโครงการพัฒนาระบบสนับสนุนการทำงานเชิงพื้นที่ฯ  กล่าวถึงแนวคิดระบบดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF) ว่า เราต้องให้พลังและศักยภาพของคนจน พร้อมทั้งสนใจวิถีชีวิตของเขาด้วยเช่นกัน การศึกษาการดำรงชีวิต หากองค์ประกอบดังกล่าวถูกบริหารจัดการอย่างสมดุลชีวิตเขาจะไม่ยากลำบากจนเกินไป มีการยกระดับผ่านกระบวนการต่างๆ จะทำให้การดูแลช่วยเหลือนั้นยั่งยืน กระบวนการดังกล่าวใช้ทุนของครัวเรือนเป็นตัวตั้งต้นในการสืบค้น ว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้เกิดระบบที่เหมาะสม

“ส่วนสำคัญคือการมียุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาความยากจน ยุทธศาสตร์แก้จนเป็น “การจัดการเชิงความสัมพันธ์” ให้เกิดกลุ่ม และรวมถึง “การจัดการการเรียนรู้” ใช้ข้อมูลความรู้ให้เกิดปฏิบัติการ ที่สำคัญคือการจัดความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเล็กๆ ของครัวเรือนคนจนเท่านั้น ต้องให้เกิดการขยายเครือข่ายและภาคีสนับสนุน และความรูู้ต้องทำให้เกิดปฏิบัติการ 3 ขั้นคือ 1) ข้อมูล/ความรู้ 2) แผนร่วม 3) ปฏิบัติการ 3 ขั้น ในการสร้างกลุ่ม สร้างพลัง สร้างปฏิบัติการ”

นายนิจกาล  งามวงศ์ นักวิจัยโครงการขยายผลการพัฒนาระบบสนับสนุนการทำงานเชิงพื้นที่ฯ กล่าวถึงเครื่องมือ PPP Connext ว่า PPP Connext เป็นระบบข้อมูลที่จะเสนอการทำงานในการแก้ไขปัญหา อาจจะเป็นข้อมูลในการตัดสินใจของเรา หลักๆ คือ ข้อมูลที่มีอยู่ในระบบ ที่มีการอัพเดทข้อมูลสม่ำเสมอ มีการแปลงข้อมูลเพื่อให้ทีมวิจัยในพื้นที่สามารถนำข้อมูลไปใช้ได้ทันที ทันเวลา ในแต่ละจังหวัดมีการแบ่งข้อมูลออกเป็นชั้น และข้อมูลที่มีอยู่ระบบก็จะมีการแปลงค่าระดับความยากจนนั้นออกมา ประกอบด้วย 1) ระดับอยู่ลำบาก 2) ระดับอยู่ยาก 3) ระดับอยู่ได้ และ 4) ระดับอยู่ดี

“สำหรับ จ.พิษณุโลก ข้อมูล ณ วันที่ 17 พ.ย. 64 มีข้อมูลอยู่ 9 อำเภอ 14,000 ครัวเรือน 37,000 คน สามารถแบ่งระบบ PPP Connext  ออกมาเป็นเรื่องของโครงสร้างประชากร พบว่า มีผู้สูงอายุอยู่ในครัวเรือนมากที่สุด กลุ่มวัยทำงานอยู่ระดับกลาง ในส่วนของรายได้จากแบบสอบถามที่กรอกเข้าไป ในระบบมีการประมวลรายได้รายจ่ายของพื้นที่นั้นได้ด้วยว่าเป็นอย่างไร และมีการแบ่งระดับความยากจนใน 4 ระดับดังกล่าว และพิจารณาประกอบกับทุน 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) ทุน/ทรัพยากรมนุษย์ 2) ทุนทางภายภาพ 3) ทุนทางการเงิน 4) ทุนทางธรรมชาติ 5) ทุนทางสังคม และระบบดังกล่าวสามารถแปลงข้อมูลออกเป็นระดับตำบล อำเภอ จังหวัด และสามารถแบ่งระดับต่างๆ ได้ รวมถึงการระบุตำแหน่งครัวเรือนในระดับแผนที่/GIS ได้ เพื่อให้เราได้เห็นระบบข้อมูลได้ชัดเจนมากขึ้น”

จากข้อมูลที่แปลงออกมาจะสามารถนำมาสู่การวิเคราะห์ต่อยอดได้ และสามารถกรองข้อมูลในการที่เราจะดูเพิ่มเติมได้อีก เช่น ผู้สูอายุในครัวเรือนที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือนั้นมีอยู่ที่ไหน อย่างไร ได้ด้วย ทีมกลางมีการคืนข้อมูลให้กับพื้นที่และมีการสอนการใช้ข้อมูลเพิ่มเติมอีก ในรูปแบบ Power BI

นางสาวจันทนา เบญจทรัพย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ พอช. กล่าวถึงระบบการส่งต่อข้อมูลเพื่อการให้ความช่วยเหลือครัวเรือนคนจนเป้าหมายว่า ในกระบวนการศึกษาวิจัยนั้น เมื่อพบครัวเรือนยากจน ก็จะดำเนินการส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็มีทั้งการส่งต่อคนจนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน และคนจนที่จะได้รับการพัฒนา เช่น จ.สุรินทร์ มีการพัฒนาศักยภาพนักจัดการข้อมูลชุมชน มีการวิเคราะห์และนำมาสู่การส่งต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่าหน่วยงานหรือภาคีต่างๆ มีการช่วยเหลืออย่างไรบ้าง , จ.ชัยนาท พบว่า มีครัวเรือน TP MAP จำนวน 2,000 ครัวเรือน แต่จากการสำรวจข้อมูลของพื้นที่ จำนวน 3,000 กว่าครัวเรือน ซึ่งมีการทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยบ้านพอเพียง และมีการสนับสนุนจากหน่วยงานที่ช่วยเรื่อง CSR ประมาณ 9 หลัง รวม 6 แสนกว่าบาท นอกจากเรื่องที่อยู่อาศัย ได้มีการทำโครงการเพื่อทำแผนโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์จังหวัด 1) โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ จำนวน 19,000,000 บาท 2. โครงการครอบครัวดีมีภูมิคุ้มกันบนฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง(กํารพัฒนําและยกระดับทักษะฝีมือช่ํางชุมชนอาสา) จำนวน 14,000,000 บาท และแผนในการดำเนินงานช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ประกอบด้วย 1. การส่งต่อข้อมูลคนยํากจนที่เป็นกลุ่มเปราะบางในการช่วยเหลือต่อ 2. กองทุนสวัสดิกํารชุมชน มีการเชื่อมโยงระบบข้อมูลนำมาสู่การช่วยเหลือในเรื่องสวัสดิกํารขั้นพื้นฐาน 3. สนับสนุนเรื่องการพัฒนาอาชีพให้กับคนจน เพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นในการดำรงชีพ 4. สนับสนุนให้เชื่อมโยงกับกองทุนสวัสดิกํารชุมชนเป็นกองทุนกลํางในการแก้ไขปัญหําที่อยู่อาศัยอย่างมีส่วนร่วมกับผู้ที่เดือดร้อน 5. ส่งเสริมการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารให้คนยากจนปลูกผักสวนครัวไว้กินเอง เป็นกํารลดรายจ่ํายในครัวเรือนและเหลือยังนำไปจำหน่ํายได้เพื่อเกิดรายได้เพิ่ม , จ.อำนาจเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ได้แต่งตั้ง“คณะทำงานบูรณาการการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนเพื่อขับเคลื่อนการทำงานช่วยเหลือครัวเรือนคนจน” เพื่อเป็นกลไกกํารทำงานเพื่อช่วยเหลือคนจนรายครัวเรือน มีการส่งต่อให้กับหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ เป็นต้น

“ปัจจุบันมีการส่งต่อการช่วยเหลือจาก พอช. มีแผนการวิเคราะห์ฐานข้อมูลจากฐานของกองทุนสวัสดิการชุมชน และนำมาทาบกับฐานข้อมูลของ บพท. และ TP MAP รวมไปถึงการพัฒนาที่อยู่อาศัย จุดเริ่มต้นของงานการสอบทานข้อมูลจากฐาน TP MAP และระบบการส่งต่อผ่านความร่วมมือ ในทิศทางต่อไปการส่งต่อในระดับต่างๆ สามารถพัฒนาระบบข้อมูลในระดับจังหวัด รวมไปถึงระบบการติดตาม ในการดำเนินงานสอดรับการยุทธศาสตร์ชาติ และการเชื่อมโยงกับทุน 5 ด้าน จะทำให้การแก้ไขปัญหาความยากจนจะทำให้การช่วยเหลือนั้นดำเนินการได้”

อาจารย์ทรงศักดิ์ ปัญญา วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า จ.แม่ฮ่องสอน มีการใช้เครื่องมือ เริ่มจากทำการสอบทานจากฐาน TP MAP มีกลุ่มเป้าหมาย 45 ตำบล 20,924 คน เริ่มต้นจากฐาน 50% ก่อน เพราะพบปัญหาวิกฤตโควิด สิ่งที่ทำควบคู่การสอบทานคือการสร้างพื้นที่นำร่อง โดยใช้ฐานทุนเดิมของ จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีประชาสังคมที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ที่มีตัวแทนภาคประชาชน และภาคส่วนต่างๆ มาเปิดเวทีคุยกันถึงสภาพปัญหาของจังหวัด มีการคุยกันเรื่องการจัดการตนเองบนบริบทของ จ.แม่ฮ่องสอน ในปีแรก แต่ละส่วนยังคงต่างคนต่างทำในพื้นที่ของตนเอง แต่มีการจัดเครือข่ายแต่ละองค์กรมาทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดการทำงานและวางเป้าหมายเชิงรูปธรรมร่วมกัน จากการเก็บข้อมูลมาร่วมวิเคราะห์ทุน 5 ด้าน ทำให้เห็นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและทุนทางกายภาพที่มีสูงสุด และนำไปเชื่อมโยงกับทุนที่มีศักยภาพยังไม่เข้มแข็ง นัก แล้วนำกลับไปเติมเต็มส่วนที่เหลือคือ ทุนมนุษย์ ทุนทางสังคม ทุนการเงิน ซึ่งทำให้เกิดกระบวนการถกเถียง มีการทำงาน 3 ระดับ 1) การส่งต่อข้อมูล 2) การพัฒนาและชุดความรู้ มีการทำโมเดลแก้จนในตำบลสบเมย มีกลุ่มเกษตรกร 1,123 ครัวเรือน มีการแบ่งตามห่วงโซ่ ต้นน้ำ คือ ครัวเรือนยากจนระดับ 1-2 ที่อยู่ในภาคการผลิต 360 คัวเรือน , กลางน้ำ มีศักยภาพในการทำแปรรูป มีกลุ่มวิสาหกิจ มีอยู่ 50 ครัวเรือน , ปลายน้ำ อยู่ในระดับ 3 สามารถทำหน้าที่พ่อค้าในการรับและส่งซื้อขายสินค้าทางการเกษตรประมาณ 10 ครัวเรือน เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนจนในกลุ่ม 1-2

“พืชของแม่ฮ่องสอนสามารถเติบโตโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี จังหวัดแม่ฮ่องสอนมียุทธศาสตร์ 5 ปี มุ่งเน้นการสร้างฐานเศรษฐกิจจากธรรมชาติและเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นต้นทุนหลักที่มีมากกว่าหลายๆ จังหวัด อีกส่วนหนึ่งคือ ในพื้นที่ตำบลห้วยปูลิง อยู่ในเขตป่าต้นน้ำ ชุมชนทำหน้าที่ในการดูแลรักษา เป็นแหล่งต้นน้ำในการผลิตน้ำกิน น้ำใช้ ของ จ.แม่ฮ่องสอน กระบวนการที่มีอยู่กับผู้ดูแลและผู้ใช้ทรัพยากร คือ การประปา มีอยู่แต่ยังไม่มีความต่อเนื่อง ต้นทุนที่ชาวบ้านต้องใช้ในการดูแลรักษา โดยมีความจำเป็นเช่น ด้านสุขภาพ การศึกษา คุณภาพชีวิต ซึ่งผลจากปีที่1 มาสู่ปีที่ 2 คือ การมีข้อต่อระหว่างคนที่แลและผู้ใช้ประโยชน์ จากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อาจจะตัองมีการประเมินศักยภาพการให้บริการทรัพยากร 4 ด้าน และตีค่าออกมาเป็นตัวเงิน ซึ่งจะนำปมาสู่การกำหนดแผนที่ชุมชนจะต้องแปลงมาเป็นการตีเป็นมูลค่า และสามารถเชื่อมโยงกับคนในเมือง ที่มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับคนบนดอยอย่างไร อย่างไรก็ตามยังคงมีปัญหาที่เกิดข้นในพื้นที่ เช่น การรุกล้ำพื้นที่ป่า การสร้างมลพิษทางอากาศ ส่งผลกระทบทางอ้อมให้กับคนที่ดูแลรักษาทรัพยากรเช่นกัน ถือเป็นเรื่องที่จะต้องขยายต่อ สิ่งจะต้องทำต่อคือการเชื่อมโยงและพัฒนาศักยภาพคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมในงานพัฒนาและงานวิจัยนี้ต่อไป”

พร้อมกันนี้สถาบันการศึกษา จาก 4 จังหวัด (แม่ฮ่องสอน ลำปาง พิษณุโลก และชัยนาท) และภาคีพัฒนา ได้แบ่งกลุ่มเพื่อปฏิบัติการออกแบบการพัฒนาโมเดลแก้จน 4 จังหวัด พบว่า ใน 4 จังหวัดมีการวิเคราะห์การดำรงชีพอย่างยั่งยืน(SLF) ที่สามารถระบุได้ถึงต้นทุน ที่นำมาสู่การออกแบบข้อเสนอโครงการ(OM) พร้อมทั้งสามารถระบุได้ถึงกระบวนการและยกระดับห่วงโซ่การผลิตและห่วงโซ่คุณค่านั้นออกมาสู่นวัตกรรมแก้จนเพื่อสอดคล้องกับบริบทและคนจนเป้าหมาย โดยในเวทีสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ได้ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ดังนี้

นายจาดุร  อภิชาตบุตร  ผู้ทรงคุณวุฒิ บพท. เปิดเผยว่า การทำเรื่องความยากจน จะต้องวินิจฉัยกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้โอกาสในการมีส่วนร่วมของคนจนเป้าหมายนั้น ฉะนั้นการรวมกลุ่มต้องมีการพิจารณาให้มากขึ้น การรวมกลุ่มนั้นสำคัญ เช่น สหกรณ์การเกษตร ปลูกอะไรก็ต้องสนับสนุนผลิตภัณฑ์หรือการตลาดนั้นด้วย รวมถึงความกระตือรือร้นของคนที่จะลงไปสนับสนุนว่ามีมากน้อยเพียงใด อาจจะต้องเป็นอีกหนึ่งเกณฑ์ในการพิจารณาความช่วยเหลือ ต้องดูกลุ่มเป้าหมายว่ามีความพร้อม ความกระตือรือร้อนมากน้อยเพียงใด ในการที่คนจนต้องการออกจากความยากจน

“ทัศนคติในการทำงานคือความแม่นยำและยั่งยืน แต่ละพื้นที่มีความแตกต่างในแต่ละบริบท เช่น จ.แม่ฮ่องสอนเป็นพื้นที่พิเศษ ดังนั้นวิธีการเพิ่มรายได้ก็จะมีความต่างจากพื้นที่อื่นเช่นเดียวกัน รวมไปถึงการเพิ่มมูลค่าก็จะเป็นจากการทำมาหากินเป็นการเพิ่มมูลค่าทางการบริการ ประกอบกับการออกแบบการพัฒนาโมเดลอาจจะต้องคำนึงถึงบริบท ความต้องการของพื้นที่ รวมถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องมาประกอบ เป็นต้น”

ดร.สีลาภรณ์  บัวสาย  ผู้ทรงคุณวุฒิ บพท. กล่าวว่า การทำงานเรื่องการโมเดลการแก้จน และในขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มทุน 5 ด้าน และเลือกว่าเราจะเริ่มจากทุนอะไรใน 5 ด้าน ซึ่งจะต้องวิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจที่อยู่บนฐานทรัพยากร หากไปดูประเทศที่พัฒนาจะเห็นได้ว่าจะเปลี่ยนจากภาคเกษตร ไปสู่การค้าและบริการ ซึ่งเป็นทุนตั้งต้นของทุนมนุษย์ เป็นการเพิ่มขีดความสามารถของการประกอบการ เรื่องที่เลือกทำนั้นจะต้องมีจินตนาการและโอกาส การออกแบบการทำงาน เราต้องรู้ว่าคนจนที่เราทำงานนั้นจะอยู่ตรงไหน จะสัมพันธ์กับการออกแบบการทำงาน  เช่น รวมกลุ่ม ใส่ยุทธศาสตร์การสร้างกลุ่ม เป็นการเพิ่มทุนมนุษย์ ทุนเศรษฐกิจ  ดังนั้นการออกแบบการทำงานจะมีผลต่อการออกจากความจนเป็นอย่างมาก ที่จะต้องดูว่าโมเดลที่เลือกไปแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างไร

น.ส.จิริกา  นุตาลัย  ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวเสริมว่า บทบาทด้านวิชาการอะไรที่จะไปยกระดับที่หน่วยงานอื่นทำเอยู่แล้ส ต้องเหนือกว่าและโดดเด่นกว่าหน่วยอื่นทำ เช่น ข้อบัญญัติทอ้งถิ่น ไม่ต้องถึงมือ ม.นเรศวร ม.นเรศวร ต้องทำอะไรที่ท้าทายมากกว่านี้  ผลลัพธ์ คือ ระบบข้อมูลหน่วยงานในจังหวัดนำไปพัฒนาในจังหวัด (คนอื่นนำงานเราไปใช้ประโยชน์) จำแนกผลลัพธ์ ผลผลิต ออกมาให้ชัดเจน  และสิ่งสำคัญต้องคำนึงถึงเป้าหมายว่าคนจนอยู่ตรงไหนในห่วงโซ่ คนจนได้รับประโยชน์อย่างไร และโอกาสทางการตลาดอยู่ตรงไหน รวมถึงการวิเคราะห์ความเสี่ยง ทั้งปัจจัยทั้งภายในและภายนอก  เช่น ระบบการเงิน การจัดการภายใน  ระบบการตลาด อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์ รวมถึงนโยบายการส่งออกของรัฐบาล ตลอดจนการวิเคราะห์ย้อนกลับมายังต้นน้ำว่าปริมาณเกษตรในการปลูกพืชมีเพียงพอหรือไม่ กลางน้ำ เทคโนโลยีในการแปรรูปมีความเชี่ยวชาญเพียงพอหรือไม่ ปลายน้ำ ตลาดมีความอ่อนไหว ซึ่งจำเป็นต้องวิเคราะห์ให้ดี ดังนั้นต้องศึกษาทั้งระบบและกระบวนการว่า มหาลัยจะไปยกระดับเพิ่มมูลค่าให้กับชุมชนได้อย่างไร รวมถึงอาจจะต้องเรียนรู้เรื่องการบริหารเครือข่ายควบคู่ไปพร้อมด้วย อย่างเป็นระบบ

ด้านนายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ  คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม กล่าวว่า จ.พิษณุโลก เป็นพื้นที่ที่มีทั้งท้องที่ ท้องถิ่น และมีคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมในการดำเนินการ ทั้งเรื่องแรงงาน ความรู้ที่เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป การดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นมิติที่ดี โดยเฉพาะการเป็นผู้ประกอบการ ปัจจุบันมีคนกลับบ้าน และการให้เขารวมตัวกันทำให้เห็นถึงภาพคนรุ่นใหม่ที่รวมตัวกัน ทำธุรกิจทางสังคม ซึ่งในหลายพื้นที่สามารถทำและสนับสนุนได้ ซึ่งสถาบันการศึกษาสามารถให้ความรู้และสอดแทรกความเข้าใจกับการทำธุรกิจทางสังคมให้นักศึกษาหรือคนรุ่นใหม่

สิ่งที่อยากจะฝากไว้ ประการแรก สถาบันการศึกษาในพื้นที่ จะต้องปลูกฝังความรู้ความเข้าใจกับลูกศิษย์ คนรุ่นใหม่ และหากพื้นที่ใดสามารถดึงลูกศิษย์มาร่วมจะทำให้เกิดแรงบันดาลใจและสามารถทำได้ ประการที่สอง ทุนทางสังคมอ่อนด้อยมาก แต่สิ่งหนึ่งที่รัชกาลที่ 9 ได้ให้คำสอนไว้คือ เวลาไปทำงานกับคนยากจนอย่าพึ่งพาเขาคิดไปไกล เราต้องทำให้เขาหยุดปัญหาที่เขาเผชิญเขาจะได้หายเครียด เขาจะได้มีสติ และเขาจะมีปัญหา แล้วเราค่อยไปส่งเสริมเขา เพราะเชื่อว่าคนข้างนอกไม่สามารถไปช่วยเขาได้จริงๆ เมื่อไหร่ที่ระเบิดจากข้างในได้จะดี ต้องให้เขาคิดถึงปัญหาของเขา แล้วตอบโจทย์ของเขาเอง ประการที่สาม ต้องทำครอบครัวให้พออยู่พอกินก่อน อย่างพึ่งคิดไปไกล พอทำได้ จึงชวนเขาเกาะกลุ่ม จับกลุ่ม ที่มีความคิดเหมือนกัน และผสมผสานกับคนที่มีความเข้มแข็ง มีจิตสาธารณะมาร่วม ประการสุดท้าย พอทำสามข้อสำเร็จ จึงดึงเรื่องธุรกิจเข้ามา ต้องคิดให้ครบ โดยเฉพาะเรื่องของห่วงโซ่ ซึ่งต้องมีขั้นตอน และสนับสนุนเขายามที่เขามีปัญหา และสิ่งสำคัญคือการเตรียมทีมพี่เลี้ยง จะทำให้งานของเรามีคุณภาพ ซึ่งต้องทำอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือ การกำหนดข้อบัญญัติท้องถิ่น เป็นการสร้างความเข้มแข็งของพื้นที่ ให้ท้องถิ่นเห็นความทุกข์ของคนในพื้นที่ เราต้องค้นหาให้พบจากสิ่งที่เราดำเนินการมา เช่น อะไรควรทำ อะไรที่ต้องค้นหา มันจะสามารถสร้างความภูมิใจ”

นายพลากร  วงค์กองแก้ว  คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่จะส่งผลกระทบและประเทศไทยต้องเผชิญ เรื่องแรก ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยสูงมาก ซึ่งแตกต่างจากความยากจน ที่ผ่านมาหลังเกิดโควิดความยากจนพุ่งสูงขึ้น ดังนั้นสิ่งที่จะทำได้ต้องแก้เรื่องความเหลื่อมล้ำหรือลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำให้ลดลง ประการที่สอง เศรษฐกิจและสังคมภายใต้สถานการณ์โควิด เศรษฐกิจตกต่ำเป็นอย่างมาก 2-3 ปี ต่อไประบบเศรษฐกิจจะตกต่ำมากขึ้น ประการที่สาม สถานการณ์สังคมสูงวัยที่จะเกิดขึ้น ในอนาคตอีก 1-2 ปีข้างหน้า เกิดสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แบบ  ประการที่สี่ ระบบเกษตรถดถอย ซึ่งต้องกลับมาสู่สังคมที่มีการทำเรื่องประกอบการมากขึ้น ซึ่งต้องดูถึงการทำเกษตรที่สอดรับกับเราในอนาคตด้วย ประการที่ห้า การเกิดความยากจนในระบบเชิงพื้นที่ จากเมืองเศรษฐกิจที่ขยายตัว เช่น ชุมชนเมือง และชุมชนต่างจังหวัด ต่อไปจะเกิดเมืองหลักเพิ่มเติมจาก กทม. เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น ฯลฯ เป็นการเกิดเมืองใหม่ พร้อมกับคนยากจน

สถานการณ์ 20 ปี ข้างหน้าประเทศไทยจะเกิดความเหลื่อมล้ำมาก มีแต่คนแก่ ยากจน เกษตรถดถอย และนำมาสู่เมืองที่ไม่สามารถปกครองตนเองได้ต่อไป สำหรับการขับเคลื่อนในพื้นที่ สิ่งที่เป็นความหวังของพวกเราคือ รัฐบาลประยุทธ์ ออกแบบให้รัฐบาลดำเนินการเป็นหลัก ทั้งการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงบ ซึ่งมองว่าหากรัฐบาลเป็นเจ้าภาพหลักเพียงอย่างเดียว ฉะนั้นหน่วยงานทางสังคมต้องออกมา จนเกิดการพัฒนาเมืองหลัก เมืองรอง การดึงศักยภาพของหน่วยต่างๆ ออกมาให้ได้ และความหวังของประเทศไทยอยู่ที่พื้นที่ เพราะหากคุยเรื่องโครงสร้างใหญ่อย่างเดียวไม่พอ

“สถานการณ์ 20 ปี ข้างหน้าประเทศไทยจะเกิดความเหลื่อมล้ำมาก รัฐบาลเป็นเจ้าภาพหลักเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดึงศักยภาพของหน่วยต่างๆ ออกมาให้ได้ หากเราสามารถใช้ระบบพื้นที่เป็นหัวใจสำคัญ สร้างเครือข่ายกลไกในพื้นที่และหาปัจจัยที่จะนำมาสู่การคลี่คลายปัญหาความยากจนได้ เป็นโอกาสสำคัญของ 4 จังหวัด พอช. เป็นหน่วยงานสำคัญในการร่วมเป็นภาคีเครือข่าย จะทำอย่างไรให้เกิดปัจจัยใหม่ภายใต้สถานการณ์เชื่อมโยงกับมิติต่างๆ”

ดร.กิตติ  สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่เราแก้ไขปัญหาที่อยู่มาอย่างช้านาน เช่น ปัญหาความยากจน ปัญหาการจัดการที่ดิน การจัดการน้ำ หากเราค้นหาจุดที่จะแก้ไขไม่ได้จริงๆ เราก็จะตกหลุมเชิงกระบวนการ ซึ่งสิ่งที่พวกเราต้องทำคืองานดักทาง ซึ่งจะต้องทำให้เกิดแพลตฟอร์มใหม่ วิธีการทำงานใหม่ ซึ่งจะเกิดนโยบายในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตามเป้าหมายของการดำเนินโครงการจะต้องมีการพัฒนาและสร้าง “โมเดลแก้จนระดับพื้นที่ด้วยวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม” และระบบการติดตามและบูรณาการความช่วยเหลือ เพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับพื้นที่(Monitoring and Evaluation: M&E) เป้าหมายแผนงานการดำเนินการในระยะถัดไปในแต่ละจังหวัด ในปี 2565-2570 ประกอบด้วย 1) ขยายผลการพัฒนาระบบและกลไกกับกระทรวง องค์กร หน่วยงาน Function ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมการพัฒนาชุมชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) (กรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ การเคหะแห่งชาติ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)) และศูนย์อ านวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ซึ่งจริงๆ แล้วอยากให้เกิดการช่วยเหลือทั้งระบบในพื้นที่ 1 กลไก 1 ท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้เกิดการขยายผลเชิงแนวคิด และมีนโยบายในการขับเคลื่อน 2) สร้างยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยากจนระดับพื้นที่ท้องถิ่น ตำบล เพื่อเป็นตัวอย่างเคลียร์คนจนให้หมดทั้งพื้นที่ 3) จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย อาทิ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (มท.) นำระบบไปใช้ในการติดตามและบูรณาการความร่วมมือช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับพื้นที

แนวทางการพัฒนาโมเดลแก้จน ตามกรอบแนวคิด ประการแรก เวลาเราวิเคราะห์ฐานทุนครัวเรือน ต้องนำข้อมูลมาใช้ มีการเชื่อมโยงและการวิเคราะห์ SLF 1) บริบท-แนวโน้ม เช่น นโยบาย สังคม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อมโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างประชากร มิติประวัติศาสตร์ เป็นการวิเคราะห์บริบท (เน้นกระบวนการ เปลี่ยนแปลง) 2) ทุนฐานดำรงชีพ ไม่ว่าจะเป็น ทุนกายภาพ ทุนทรัพยากร ทุนการเงิน  ทุนมนุษย์ ทุนสังคม เป็นการวิเคราะห์ สินทรัพย์ครัวเรือนยากจน 3) มีการตั้งเป้าหมาย และ 4) การวิเคราะห์กลไกที่เกี่ยวข้อง จึงจะออกมาเป็นกลยุทธ์หรือโครงการ และบทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะชัดเจน และ 5) การวิเคราะห์กลไกเชิงสถาบัน (การเข้าถึงการมีส่วนร่วม) การวิเคราะห์กลยุทธ์ การดำรงชีพ  การวิเคราะห์ผลลัพธ์/ค้นหาทางเลือก ที่มีการใช้เครื่องมือเพื่อนำมาวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่การออกแบบกลยุทธ์การดำรงชีพ เช่น กลไกตลาด Demand – Supply Matching Network Value Chain Gap analysis (Hard Tool & Soft Tool) เป็นต้น