ร้อยเอ็ด : หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ร่วมกับ สถาบันราชภัฏร้อยเอ็ด ภายใต้โครงการขยายผลการพัฒนาระบบสนับสนุนการทำงานเชิงพื้นที่เพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ และภาคีพัฒนา จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “การเชื่อมโยงกรอบแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF) กับการพัฒนาโมดลแก้จน” ขึ้น ระหว่างวันที่ 16-17 ตุลาคม 2564 มีผู้เข้าร่วมกว่า 60 คน อาทิ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิจัยจากส่วนกลาง นักวิชาการ จาก 5 จังหวัด (เลย บุรีรัมย์ นครราชศรีมา อุบลราชธานี และร้อยเอ็ด) ภาคีพัฒนา สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นาคงของมนุษย์จังหวัดร้อยเอ็ด สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) พัฒนาชุมชนจังหวัดร้อยเอ็ด(พช.) ฯลฯ ณ ห้องประชุมใหญ่ 1 (ห้องกันเกรา) ชั้น 3 โรงแรมราชภัฎร้อยเอ็ดกรีนวิว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF) และพัฒนาออกแบบโมเดลแก้จน โดยการเชื่อมโยงกับระบบข้อมูล PPP Connext และการวิเคราะห์ทุนการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF) และพัฒนากรอบการประเมินผลตอบแทนทางสังคมตามแนวทางการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLROI) โดยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ได้รับเกียรติจากผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นประธานเปิดงาน
นายภูสิต สมจิตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกท่าน ที่มาร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการการเชื่อมโยงกรอบแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF) กับการพัฒนาโมเดลแก้จน และตนมองว่าปัญหาความยากจนเป็นปัญหาที่พูดกันมานาน และไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ การแก้ปัญหาความยากจนมีแนวคิดหลายอย่างที่มีความซับซ้อน ได้รับการถ่ายทอดมาจากการนักปกครองจากรุ่นสู่รุ่น ดดยเฉพาะการช่วยเหลือคนยากจนที่มักจะให้ปลา มากกว่าให้เบ็ดตกปลา ลำพังเราให้เครื่องมือไปแล้ว ไม่ได้หมายถึงเขาจะอยู่ในสังคมและอยู่ภายใต้การแข่งขันและเอาตัวรอดได้ ซึ่งมีหลายมิติที่จะต้องให้เขามีความเข้มแข็งในหลายด้าน มีมุมมองในการแก้ไขปัญหาความยากจนในหลายๆ มิติ เช่น การกำหนดตัวชี้วัดคนจน /ความยากจน นิยามต่างๆ ปัจจุบันรัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยเฉพาะในระดับจังหวัด มีสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ระดับจังหวัด(พมจ.) รวมถึงพัฒนาการจังหวัด จังหวัด ที่เป็นแม่งานในการขับเคลื่อการแก้ไขปัญหาความยากจน เป็นการสแกนความยากจนในพื้นที่ ว่าคนยากจนมีที่ไหนบ้าง โดยใช้ฐาน TPMAP
“จังหวัดร้อยเอ็ด ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เป็นจังหวัดนำร่อง โดยมีสถาบันการศึกษา มาเสริมสร้าง ชี้เป้าหมาย ให้แนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อจังหวัด มีความยินดีในการสนับสนุนและร่วมผลักดันแนวทางต่างๆ ที่ให้ข้อเสนอเชิงนโนบายในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อขับเคลื่อนร่วมกันต่อไป”
ศาสตราจารย์ ดร.เฉลย ภูมิพันธุ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏจังหวัดร้อยเอ็ด บรรยายถึง “โครงการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ กับการพัฒนาบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา”ว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ 38 แห่ง มีนโยบายให้มหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นสถานอุดมศึกษาที่ร่วมพัฒนาท้องถิ่นที่นำไปสู่การพัฒนาประเทศให้มีความยั่งยืน และคาดหมายให้ลูกหลานคนในท้องถิ่นได้กลับมาทำงานที่ราชภัฏเพื่อร่วมพัฒนาท้องถิ่นด้วย แนวทางการทำงานและบทบาทของมหาวิทยาลัยราชภัฏกับการพัฒนาท้องถิ่น เรามองว่าทำอย่างไรให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ในชุมชนท้องถิ่นอยู่ดีกินดี อยู่ได้ แม้กระทั่งในสภาวะที่ประชาชนได้รับความยากลำบาก เราก็พร้อมให้การช่วยเหลือในทุกด้าน เช่น ภาวะวิกฤติโควิด มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ร่วมกับภาคี เปิดเป็น โรงพยาบาลสนาม โดยการสนับสนุนของสาธารณะสุขจังหวัด
ในช่วงที่ผ่านมาได้มีกำหนดหลักการทำงานร่วม 3 ประการ คือ 1) การสนองความต้องการ เราต้องมาศึกษาและดูว่าเขามีความต้องการที่จะได้รับความต้องการนั้นหรือไม่ และสิ่งที่ต้องการจริงๆ คืออะไร 2) ท้องถิ่นหรือประชาชนสามารถช่วยเหลือตนเองได้หรือไม่ 3) การมีส่วนร่วมของคนในท้องถิ่น ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาต่อได้เป็นอย่างไร
“สิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การปฏิบัติจริงนั้น มีหลายปัจจัย ขอเรียกว่า KUSA ประกอบด้วย 1) องค์ความรู้และข้อมูลเชิงวิชาการ (K) ที่ต้องมองว่าประชาชนมีความรู้เพียงพอหรือไม่ หรือมีผู้รู้ ผู้มีภูมิปัญญา ที่จะต้องมานำวิเคราะห์และพัฒนาต่อ เรื่ององค์ความรู้ เป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องได้รับการถ่ายทอดและนำไปสู่การประยุกต์ 2) ความเข้าใจ/การวิเคราะห์ตนเอง(U) เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันนำไปสู่การพัฒนาศัยภาพต่อ 3) การพัฒนาทักษะ(S) มีการส่งเสริมและสิ่งที่ช่วยพัฒนาการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาทักษะให้มากขึ้น 4) ทัศนคติที่ดี(A) ทั้งท้องถิ่นและสถาบันอุดมศึกษาเพื่อให้เกิดการร่วมมือและยอมรับ”
ด้าน ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) บรรยาย “ทิศทางการพัฒนาโมเดลแก้จนตามกรอบแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF)” ระบุว่า หน่วย บพท. มีแนวคิดในการจัดทำแผนงานริเริ่มสำคัญ เรื่อง “งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ” โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างแพลตฟอร์มการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเบ็ดเสร็จและแม่นยำ โดยสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ เป็นหน่วยในการประสานการดำเนินการแก้ไขปัญหาความยากจนในเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งในปี 2563 มีพื้นที่วิจัยใน 10 จังหวัดนำร่อง มีจำนวนคนจนตามฐานข้อมูล TPMAP รวม 131,040 คน ต่อมาในปี 2564 จึงได้มีการขยายผลระยะที่สองโดยมีกลุ่มเป้าหมายใน 10 จังหวัดแรกเพิ่มขึ้น จำนวน 205,199 คน และขยายพื้นที่ดำเนินงานการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอีก 10 จังหวัด รวมเป็น 20 จังหวัด จำนวนคนจนเป้าหมายรวมทั้งสิ้น 336,239 คน โดยมีสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ เป็นหน่วยดำเนินโครงการวิจัย
ในการดำเนินงานดังกล่าวได้ใช้โมเดลการแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศจีน ที่มีการทำสำมะโนครัวครัวเรือนยากจนและสำรวจข้อมูลทุนพื้นฐาน ศึกษาบริบทพื้นที่วิเคราะห์ปัญหา การขับเคลื่อนของหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งทำให้เกิดการพัฒนาพื้นที่อย่างเป็นระบบ ส่งผลให้เกิดการแก้ไขปัญหาความยากจนจากระดับท้องถิ่นสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนจนอย่างตรงเป้าในระดับประเทศ เมื่อเราพบว่าคนจนอยู่ที่ไหน จึงนำมาสู่โมเดลแก้จน มีการดำเนินการผ่านกลไกความร่วมมือภาครัฐ เอกชน และมีภาควิชาการเป็นหางเสือ เพื่อวิเคราะห์บริบท ความรู้ นวัตกรรม เป็นการพัฒนาพื้นที่ เพื่อหมุนเกลียวกลไกความร่วมมือ เป็นเป้าประสงค์ของการพัฒนาเชิงพื้นที่
“ในประเทศไทยมีดัชนีความเหลื่อมล้ำเรื่องรายได้ของคนจนที่มีค่อนข้างมาก และใช้ TP MAP ที่เป็น Big data ของประเทศไทย จึงให้มหาวิทยาลัยดำเนินการดำเนินการและถอดจากหน้างานจริง เป้าหมายหลักของการดำเนินการคือ ให้คนจนลุกขึ้นมาช่วยเหลือตนเอง มีการวิเคราะห์ผ่านแนวคิด SLF จากฐานทุน 5 ฐาน และมีการจัดลำดับขั้นตอนความคิด ที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน โดยวิเคราะห์บริบทและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการสร้างโมเดลความยากจน และมีการตั้งเป้าหมาย”
รูปธรรมการพัฒนาโมเดลแก้จนกลยุทธ์การดำรงชีพอย่างยั่งยืน(SLF) จ.อำนาจเจริญ
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ได้วิเคราะห์กลยุทธ์การดำรงชีพอย่างยั่งยืน ของ จ.อำนาจเจริญเพิ่มเติมว่า ครัวเรือนยากจนจะสร้างมูลค่าได้อย่างไร โดยนำมูลค่าสินค้า วิเคราะห์กับบริบทของพื้นที่ ว่าทำได้อย่างไร ดำเนินการภายใต้ครัวเรือนยากจนนั้นแบบไหน ครัวเรือนยากจนซ้ำซาก เกิดบริบทโครงข่ายทางสังคมดูแลกันและกัน (Social Safety Net) ให้คนจนได้รับโอกาส เป็นการอธิบายคนจนรายครัวเรือน รายคน จนเกิด “ยุทธศาสตร์แก้จนระดับพื้นที่” มีระบบการสอบทานข้อมูลคนจนรายครัวเรือน และการช่วยเหลือคนจนในพื้นที่
กลยุทธ์การดำรงชีพ จ.อำนาจเจริญ มีกระบวนการดังนี้ 1) การวิเคราะห์บริบทพื้นที่(ครัวเรือนพื้นที่+ข้อมูลยากจน) ต้องมองมากกว่าระดับตำบล ที่มากกว่าแผนตำบล เพราะผู้ซื้ออยู่นอกตำบล และต้องนำข้อมูลอื่นมาประกอบ เช่น บริบทพื้นที่ ยุทธศาสตร์จังหวัด , ระบบชลประทาน , ระบบการซื้อ-ขายเดิม มีการใช้ PPP Connect ว่าฐานทุนดังกล่าวอยู่ที่ใด การ Tag ครัวเรือนยากจนในพื้นที่ นี่คือ พรอพเพอตี้ ครัวเรือนยากจน สมมติฐานคือ ข้อมูลชัดเจน การให้การช่วยเหลือก็จะชัดเจน 2) การวิเคราะห์ SLF และแบบการวิเคราะห์ SLF ประกอบด้วย บริบทแนวโน้ม นำไปสู่การวิเคราะห์บริบทที่เน้นกระบวนการการเปลี่ยนแปลง ทุนฐานดำรงชีพ การวิเคราะห์สินทรัพย์ครัวเรือนยากจน กลไกเชิงสถาบัน(โครงสร้าง-กระบวนการ) การวิเคราะห์กลไกเชิงสถาบัน เช่น การเข้าถึง-การมีส่วนร่วม กลยุทธ์การดำรงชีพ การวิเคราะห์กลยุทธ์ การดำรงชีพ และผลลัพธ์การดำรงชีพ มีการวิเคราะห์ผลลัพธ์ ค้นหาทางเลือก 3) จนนำมาสู่โมเดลแก้จน ที่เป็นโมเดลแก้จนโดยให้คนจนอยู่ในห่วงโซ่การผลิต และ 4) ในการนี้จะต้องนำเครื่องมือในการวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่การออกแบบกลยุทธ์การดำรงชีวิต เช่น กลไกตลาด ความต้องการของตลาด เครือข่ายห่วงโซ่คุณค่าและการผลิต
“ตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็นบริบทที่ชุมชนช่วยกันเอง ซึ่งต้องมีการวิเคราะห์บริบททุนที่มีอยู่ ที่เป็นการสร้างพลังในการจัดกระบวนการ ที่ใช้โครงข่ายสังคม/สวสดิการชุมชน เช่น ให้คนจนอยู่ในระบบการจัดสวัสดิการแบบใดแบบหนึ่ง เช่น กลุ่มวิสาหกิจ ฯลฯ และเกิดการหมุนเวียนภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่ และคนจนมีส่วนร่วม ทำให้คนจนมีรายได้จากการปันผล ชีวิตก็เกิดการดำเนินการ ฉะนั้นโมเดลแก้จน ที่เกิดจากฐานทุน 5 ฐาน และใช้เครื่องมือประกอบ จะอยู่ในรูปแบบและอยู่ในขั้นใด เป็นต้น”
อย่างไรก็ตามในเวทีดังกล่าวได้มีการแลกเปลี่ยนเครื่องมือ กระบวนการและรูปธรรมเพื่อให้เห็นการเชื่อมโยงกรอบแนวคิดการดำรงชีพอย่างยั่งยืน กับการพัฒนาโมเดลแก้จน ทั้งจากแนวคิดระบบดำรงชีพอย่างยั่งยืน (SLF) สู่ปฏิบัติ มองผ่านองค์ประกอบการศึกษาความยากจน การทำความยากจนใช้ระบบดำรงชีพมาอธิบาย โดย ดร.แมน ปุโรทกานนท์ หัวหน้าโครงการพัฒนาระบบสนับสนุนการทำงานเชิงพื้นที่ฯ , การนำข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์มาใช้ร่วม ในรูปแบบ PPP Connect เป็นการใช้ระบบข้อมูลครัวเรือนยากจนระดับพื้นที่ ระบบมีการรองข้อมูลออกมาทั้งในภาพรวม ที่มีครัวเรือนจากการสำรวจ มีการแสดงข้อมูลครัวเรือน มีการทำวิเคราะห์ทุน 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) ทุนมนุษย์ 2) ทุนกายภาพ 3) ทุนเศรษฐกิจ 4) ทุนธรรมชาติ 5) ทุนทางสังคม ซึ่งทุนแต่ละด้าน จะมีการแบ่งรายละเอียดใน 4 ระดับ คือ 1) อยู่ลำบาก 2) อยู่ยาก 3) อยู่พอได้ 4) อยู่ดี และมีการแสดงภาพการกระจายตัว และทุนด้านต่างๆ อยู่ในระดับใด โดย นายถนอมสิน พลลาภ ผู้ช่วยหัวหน้าโครงการพัฒนาระบบสนับสนุนการทำงานเชิงพื้นที่ฯ , บทเรียนจากการทำกระบวนการ OM โดย นายนิจกาล งามวงศ์ นักวิจัย โครงการขยายผลการพัฒนาระบบสนับสนุนการทำงานเชิงพื้นที่ , และบทเรียนโมเดลแก้จน ที่เป็นนวัตกรรมแก้จน จากการฟังเสียงของคนจน จ.อำนาจเจริญ โดย นางสาวจันทนา เบญจทรัพย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ พอช.
พร้อมกันนี้สถาบันการศึกษา จาก 5 จังหวัด (เลย บุรีรัมย์ นครราชศรีมา อุบลราชธานี และร้อยเอ็ด) และภาคีพัฒนา ได้แบ่งกลุ่มเพื่อปฏิบัติการออกแบบการพัฒนาโมเดลแก้จน 5 จังหวัด พบว่า ใน 5 จังหวัดมีการวิเคราะห์การดำรงชีพอย่างยั่งยืน(SLF) ที่สามารถระบุได้ถึงต้นทุน ที่นำมาสู่การออกแบบข้อเสนอโครงการ(OM) พร้อมทั้งสามารถระบุได้ถึงกระบวนการและยกระดับห่วงโซ่การผลิตและห่วงโซ่คุณค่านั้นออกมาสู่นวัตกรรมแก้จนเพื่อสอดคล้องกับบริบทและคนจนเป้าหมาย
นายจาดุร อภิชาตบุตร ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ให้ข้อคิดเห็นและย้ำว่า สามารถมองได้ 2 มุมคิดคือ แบบกว้าง ที่ใช้พื้นที่เป็นหลัก มีเป้าหมาย มีพื้นที่ข้อมูลที่อ้างอิงถึง มีการวิเคราะห์ คนที่อยู่ในชุมชนอาจจะอยู่ในเงื่อนไขที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ เขาอยู่แบบไหน เช่น มีที่ดิน แต่ไม่มีลูกหลานทำ และจะทำอย่างไรจะทำให้เกิดความหลากกลาย นอกจากทำนาอาจจะปลูกไม้ยืนต้น และต้องลองดูว่าช่วงไหนที่จะต้องเข้าไปช่วยเหลือ ให้หาหนทางให้พ้นความอับจน ส่งเสริม และในมุมมองแบบเจาะจง ที่จะต้องละเอียดและแม่นยำ ดังนั้นต้องคิดว่า คำว่า แม่นยำที่ทำให้การวิจัยมีความชัดเจน ที่เป็นรหัสที่ต้องไม่เหมือนที่อื่น คำว่าแม่นยำคือ สิ่งที่เราต้องเข้าไปช่วยคิด เมื่อดำรงชีพอยู่ยากลำบาก
ด้าน ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย ผู้ทรงคุณวุฒิ ให้ข้อคิดเห็นต่อเวทีว่า สิ่งที่จะต้องดำเนินการนั้น ตนมองถึง 3 วง ประกอบด้วย 1) การรวมกลุ่ม การรวมกลุ่มต้องคิดแบบ local base ไม่ใช่ Target base ต้องมองว่ามีพลังอะไรอยู่บ้างในชุมชน/ตำบล 2) การสร้างพลัง เป็นการจัดการความสัมพันธ์ และการจัดการการเรียนรู้ เป็นการสร้างให้คนมีความเชื่อมั่นและศรัทธาร่วม ที่ส่งเสริมให้คนมาร่วมจัดการและช่วยเหลือกัน บางพื้นที่ใช้เครื่องมือทางวัฒนธรรม ให้มีการจัดการความสัมพันธ์ เพื่อยกระดับปัญหาจากครัวเรือน แต่เป็นเรื่องร่วมของชุมชน/หมู่บ้าน ที่ต้องมาร่วมกันจัดการ และการจัดการความสัมพันธ์สามารถขยายไปสู่ความสัมพันธ์กับภาคี/ดึงคนมาร่วม ส่วนด้านการจัดการการเรียนรู้ ที่ต้องเริ่มต้นจากงานข้อมูล ไปสู่แผน และแผนไปสู่ Action และนำไปสู่การ learning แพลตฟอร์ม 3) การสร้างปฏิบัติการ(Action) ซึ่งมีแบบสงเคราะห์ซึ่งก็มีความจำเป็นอยู่ กับแบบพัฒนา การสร้างแอคชั่น ให้คนไปปรับตัวและยก position ไปสู่ value chain โดยต้องนำความรู้มาเติมเต็ม
น.ส.จิริกา นุตาลัย ที่ปรึกษาโครงการ : การประกอบการ สิ่งที่ต้องดูและวิเคราะห์เพิ่มคือ 1) ความรู้กลุ่มเป้าหมายที่เราจะไปพัฒนา 2) ประสบการณ์/ทักษะ 3) ตลาด 4) เงินทุน 5) พันธมิตร และต้องวิเคราะห์ความเสี่ยงไปพร้อมกัน เมื่อมีการวิเคราะห์ ต้องดูความรู้ของกลุ่มเป้าหมาย ประสบการณ์/ทักษะของตนเอง ตลาด เงินทุน พันธมิตร ของการประกอบการ และต้องวิเคราะห์ความเสี่ยงควบคู่ไปด้วย ว่าจะเกิดความเสี่ยงอะไรบ้าง ต้องเห็ฯความต่อเนื่องของกลุ่มเป้าหมาย เวลามองอย่าดำดิ่ง ต้องมองภาพกว้างด้วย ๒) เมื่อวิเคราะห์บริบท ต้องมองผ่านเครื่องมือ 4 P มาร่วมประกอบด้วย คือ 1) โจทย์/ปัญหาร่วมของพื้นที่ (Pain Point) และคนจนเป้าหมายคืออะไร 2) ความรู้ใหม่หรือนวัตกรรม (New Point) ที่จะนำไปใช้แก้ปัญหา 3) ทุนเดิมของพื้นที่ (Entry Point) เพื่อเป็นฐานในการนำไปต่อยอดในการแก้ปัญหา และ 4) ข้อพึงระวัง (Pleased point)
ด้าน ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวว่า สิ่งที่ยากคือการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เป็นการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างอำนาจ จากนั้นจะสามารถออกแบบโครงการ ก็จะมีห่วงโซ่การผลิต และห่วงโซ่คุณค่าเข้ามา วิธีคิดต้องเข้าไปเป็นโมเดลที่สมบูรณ์เบ็ดเสร็จ ต้องมีเจ้าภาพในการเข้าไปช่วยคนจน เช่น กลุ่มวิสหากิจที่แปรรูปอยู่ตรงกลาง โชเชียลเอ็นเตอร์ไพรส์ ที่ดึงคนยากจนเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่คคุณค่า ฯลฯ ครัวเรือนยากจนอยู่ตรงไหน สิ่งสุดท้ายที่ต้องเน้นย้ำคือ เริ่มด้วยระบบค้นหาสอบทานใช้ฐาน TPMAP เชื่อมโยงกับ PPP connext สู่การออกแบบโมเดล 10 จังหวัดใหม่ และระบบส่งต่อต่อไป