ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าและขับเคลื่อนงานโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด ณ จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดอำนาจเจริญ ระหว่างวันที่ 8-9 ตุลาคม 2564 โดยเป็นประธานเปิดอาคาร และส่งมอบวัสดุ อุปกรณ์ และครุภัณฑ์การเกษตร ให้กับแปลงใหญ่ยางพาราสหกรณ์กองทุนสวนยางไร่ใต้-พิบูลมังสาหาร จํากัด หมู่ 4 ตําบลไร่ใต้ อําเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี และส่งมอบเครื่องจักรกลการเกษตรให้กับแปลงใหญ่ข้าววิสาหกิจชุมชนผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์ตำบลห้วยไร่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดอำนาจเจริญ
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกรที่เป็นกําลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้ดำเนินงานโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาดขึ้น เพื่อต่อยอดการดำเนินงานโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ ซึ่งสนับสนุนให้เกษตรกรได้รวมกลุ่มกันในการผลิต เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน มีการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความหลากหลายมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนา ตลอดจนร่วมกันจัดการด้านการตลาด ส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการตามเป้าหมายการพัฒนาระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ เพื่อการพึ่งพาตนเอง และเรียนรู้อย่างเท่าทันการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้กลุ่มแปลงใหญ่ที่ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารโครงการฯ ระดับจังหวัด มีจำนวนทั้งสิ้น 3,379 แปลง และโอนเงินให้กลุ่มแปลงใหญ่ครบถ้วนแล้ว ร้อยละ 100 วงเงินประมาณ 9,355.73 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงานเบิกจ่ายของเกษตรกร ซึ่งจะสิ้นสุดภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564
ด้านนายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า โครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด ที่ผ่านการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารโครงการฯ ระดับจังหวัด สำหรับจังหวัดอุบลราชธานี มีจํานวนทั้งสิ้น 118 แปลง งบประมาณรวมประมาณกว่า 340.2 ล้านบาท ส่วนจังหวัดอำนาจเจริญ มีจํานวนทั้งสิ้น 102 แปลง งบประมาณรวมประมาณกว่า 304 ล้านบาท โดยทุกแปลงได้รับสนับสนุนงบประมาณแปลงละไม่เกิน 3 ล้านบาท เพื่อนําไปจัดซื้อจัดจ้างวัสดุอุปกรณ์และปัจจัยการผลิตที่สําคัญ สําหรับเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาเพื่อเขาสู่มาตรฐาน การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าเชื่อมโยงสู่การตลาด
สำหรับ แปลงใหญ่ยางพาราสหกรณ์กองทุนสวนยางไร่ใต้-พิบูลมังสาหาร จํากัด ปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 131 ราย พื้นที่รวม 2,137 ไร่ มีผลผลิตรวมต่อปีกว่า 7 แสนกิโลกรัม เป็นสมาชิกสหกรณ์ 363 ราย โดยกิจกรรมหลักของกลุ่ม คือ การรับประมูลยางก้อนถ้วย และยางแผ่นรมควัน จากสมาชิกและเกษตรกรทั่วไป ทั้งในพื้นที่อําเภอพิบูลมังสาหารและอําเภอข้างเคียง เช่น อําเภอสว่างวีระวงศ์ อําเภอนาเยีย รับซื้อเม็ดมะม่วงหิมพานต์ รับซื้อมันสําปะหลัง (มันเส้น) จําหน่ายปุ๋ยเคมี และจําหน่ายน้ำกรด ปัจจุบันหลังจากได้รับสนุนงบประมาณตามโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด ได้ดำเนินการจัดซื้อแม่ปุ๋ยเคมี สูตร 46-0-0, 18-46-0 , 0-0-60 จัดซื้อเครื่องผสมปุ๋ยเคมีอัตโนมัติ 1 เครื่อง และสร้างโรงเรือน 1 หลัง เพื่อใช้เป็นสถานที่ผสมปุ๋ย เก็บรักษาปุ๋ย และห้องทํางานของกลุ่ม ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือให้เกษตรกรสมาชิกได้ใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน ช่วยพัฒนาคุณภาพผลผลิต และลดต้นทุนการผลิตได้
ด้านแปลงใหญ่ข้าววิสาหกิจชุมชนผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์ตำบลห้วยไร่ มีสมาชิก 58 ราย พื้นที่ 921 ไร่ และเป็นเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์จังหวัดอำนาจเจริญด้วย ซึ่งมีสมาชิก 602 รายพื้นที่ 16,000 ไร่ ครอบคลุม 5 อำเภอ 20 ตำบล 71 หมู่บ้าน ในจังหวัดอำนาจเจริญ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล อาทิ EU NOP, Fairtrade, JAS, GMO & HACCP มีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตรมาปรับใช้ และทำการตลาดทั้งในและต่างประเทศ
นายวันนา บุญกลม ประธานแปลงใหญ่ข้าววิสาหกิจชุมชนผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์ตำบลห้วยไร่ กล่าวว่า ทางกลุ่มผลิตข้าวอินทรีย์และแปรรูปจำหน่ายในมาตรฐานส่งออกต่างประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป ซึ่งที่ผ่านมาจะเจออุปสรรคคือ ขาดแคลนแรงงานในการปลูกข้าวตั้งแต่การหว่านข้าวจนถึงเก็บเกี่ยว เนื่องจากจำนวนเกษตรกรมีน้อยและส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งกระทบต่อระยะเวลาในการทำงานที่ต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้นและความล่าช้าทำให้ข้าวเสียหายเพราะเก็บเกี่ยวไม่ทันฤดูกาล แต่ปัจจุบันกลุ่มจัดซื้อเครื่องจักร เช่น รถเกี่ยวนวดข้าว รถแทรกเตอร์ขนาด 50 แรง เครื่องหยอดข้าว รถดำนาแบบเดินตาม 4 แถว ชุดเครื่องโรยกล้ากึ่งอัตโนมัติ ฯลฯ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จากงบประมาณสนับสนุนในโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด
“เป็นโอกาสดี และเป็นโครงการที่ดีมากในรอบ 10 ปี ที่มีโครงการมาสนับสนุนความต้องการของชาวนา โดยกลุ่มชาวนาคิดเองทำเอง เพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเอง ทำให้ทางกลุ่มลดต้นทุนการผลิตได้จริง โดยเฉพาะค่าแรงงาน ข้าวที่เกี่ยวได้ก็ไม่หักไม่เสียหาย” นายวันนา กล่าว