ในวันที่ 30 สิงหาคม 2564 เวลา 11.00 น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 66/2564 โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษก ศบค.ยธ. เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถานวันนี้ พบเรือนจำระบาดเพิ่ม 1 แห่ง คือ เรือนจำกลางราชบุรี ส่งผลให้มีเรือนจำสีแดงที่พบการระบาด 41 แห่ง และเรือนจำสีขาวที่ไม่มีการแพร่ระบาด 101 แห่ง โดยมีเรือนจำ จำนวน 7 แห่ง ที่จะพ้นการระบาด หรือ EXIT ได้ในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้
ขณะที่วันนี้ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 280 ราย (พบในเรือนจำสีแดง 201 ราย และพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 79 ราย) รักษาหายเพิ่ม 87 ราย เสียชีวิต 2 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 3,933 ราย (กลุ่มสีเขียว 87.7% สีเหลือง 11.9% และสีแดง 0.4%) เป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร 374 ราย ปริมณฑล 583 ราย และต่างจังหวัด 2,976 ราย โดยมีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 52,416 ราย หรือ 91.4% ของผู้ติดเชื้อสะสม 57,347 ราย เสียชีวิตสะสม 121 ราย คิดเป็นอัตรา 0.2% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด
สำหรับผู้เสียชีวิต เป็นผู้ต้องขังจากเรือนจำกลางนครสวรรค์ 2 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง มีโรคประจำตัว และสูงอายุ แม้ว่าได้ดูแลรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามมาตรฐานโดยทีมแพทย์ และส่งต่อการรักษายังโรงพยาบาลภายนอกแล้ว แต่อาการยังคงไม่ดีขึ้น จนกระทั่งได้เสียชีวิตลง ทั้งนี้ ได้ประสานญาติเพื่อนำร่างผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามวิธีการจัดการศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อย
นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในการประชุมวันนี้ ได้เน้นย้ำมาตรการในการปล่อยตัวผู้พ้นโทษ ซึ่งแบ่งผู้ต้องขังออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาหาย หรือตรวจพบการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน (IgG เป็นบวก) จะได้รับการปล่อยตัวตามปกติ
2. กลุ่มที่ยังติดเชื้อและรักษาไม่ครบ 14 วัน จะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลสนามภายในเรือนจำ แต่หากไม่ยินยอม จะได้รับการส่งต่อรักษาสถานพยาบาลภายนอก โรงพยาบาลสนามภายนอกเรือนจำ หรือศูนย์พักคอยของเรือนจำ (ระหว่างรอส่งต่อการรักษา หรือผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ) จนกว่าจะหาย
3. กรณีผู้ที่ไม่ติดเชื้อ จะได้รับการตรวจหาเชื้อทุกราย
หากไม่พบเชื้อจะได้รับการกักตัวก่อนปล่อยเป็นเวลา 14 วัน และตรวจหาเชื้อซ้ำอีก 1 ครั้งก่อนปล่อย กรณีที่ผลตรวจเป็นบวกหรือพบเชื้อในการตรวจแต่ละครั้ง จะต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาตามที่กำหนด แต่หากไม่พบเชื้อจะได้รับการปล่อยตัว โดยแนะนำให้กักตัว 14 วัน ในสถานกักกันโรค Local Quarantine (LQ) ด้านนอกเรือนจำ ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลแม่ข่าย สำนักงานป้องกันควบคุมโรค และสำนักงานสาธารณสุขในพื้นที่ โดยจะต้องไม่มีผู้พ้นโทษที่ยังติดเชื้ออยู่และได้รับการปล่อยตัวไปรักษาเองที่บ้าน (Home Isolation) โดยเด็ดขาด
นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายบริหารสถานการณ์ภายใต้กรอบที่วางไว้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรการป้องกันเชื้อ 3 แนวทาง คือ
1. การป้องกันเชื้อจากเจ้าหน้าที่ โดยการสลับเวรปฏิบัติงานแยกเป็นชุด และตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมยืนยันผลลบก่อนเข้าปฏิบัติงานทุกครั้ง และในเรือนจำสีแดงจะต้องตรวจหาเชื้อซ้ำอีกครั้งก่อนออกจากพื้นที่ โดยในระหว่างการปฏิบัติงานจะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันเชื้อ และห้ามเดินทางหรือเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระหว่างออกเวร
โดยเด็ดขาด
2. การป้องกันเชื้อจากผู้ต้องขังแรกรับหรือรับใหม่ทุกราย จะต้องได้รับการแยกกักโรค อย่างน้อย 21 วัน และตรวจหาเชื้ออย่างน้อย 2 ครั้ง คือ ก่อนเข้าห้องกักโรค 1 ครั้ง และก่อนออกจากห้องกักโรคอีก 1 ครั้ง และ
3. การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อสิ่งของที่มาจากภายนอกเรือนจำ รวมถึงการรักษาสุขอนามัย สวมใส่หน้ากากอนามัยอย่างถูกต้องตลอดเวลา รักษาระยะห่างและงดการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้ หากเกิดการระบาดขึ้น จะต้องเร่งดำเนินการตามแนวทางสาธารณสุข คือ การคัดกรองรวดเร็ว (Early Detection) ตรวจวินิจฉัยรวดเร็ว (Early Diagnosis) รักษารวดเร็ว (Early Treatment) เพื่อช่วยให้ควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว (Early Containment) ทั้งด้วยวิธี RT-PCR, Antigen Test Kit (ATK) การเอกซเรย์ปอดแบบ 100% และการตรวจวัดค่าออกซิเจนปลายนิ้ว ซึ่งช่วยให้สามารถค้นหาผู้ติดเชื้อ หรือผู้ที่มีอาการผิดปกติเพื่อรับการรักษาและเข้าถึงยาได้อย่างทันท่วงที อันจะช่วยลดความรุนแรงของโรค และควบคุมการระบาดได้อย่างรวดเร็ว
ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจำวันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างการรักษาตัว จำนวน 22 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 17 ราย เด็กและเยาวชน 5 ราย ด้านผลการดำเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจำนวน 45 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 11 แห่ง อยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 1 แห่ง หมดสถานะ 1 แห่ง และติดเชื้อ 9 แห่ง ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นเป็น 141 ราย หรือคิดเป็น 3.44% จากทั้งหมด 4,094 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนคงที่ 3,795 ราย หรือคิดเป็น 86.74% จากทั้งหมด 4,375 ราย