สคบ. ชี้แจงกรณี “กลุ่มต้านแชร์ลูกโซ่ ร้อง กมธ. การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร”

จากกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อว่า องค์การต่อต้านแชร์ลูกโซ่นำผู้เสียหายที่ไม่ได้รับผลตอบแทนจากการร่วมลงทุนกับบริษัท ทรูเฟรนด์ 2020 จำกัด ร้องกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ โดยระบุว่าได้มีการร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค นั้น

 สคบ. ขอชี้แจงในประเด็นดังกล่าวต่อสาธารณะเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้

1. สคบ. ได้มีการตรวจสอบประเด็นข้อพิพาทแห่งการร้องเรียนแล้ว ปรากฏว่าผู้ร้องเรียนมีลักษณะ การร่วมลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนจากบริษัทฯ ไม่ใช่กรณีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการบริโภคสินค้าหรือบริการจึงไม่ถือว่าเป็นผู้บริโภค ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ทั้งนี้ สคบ. โดยลงพื้นที่ตรวจสอบสถานประกอบการ ประกอบกับได้ตรวจสอบแผนการจ่ายผลตอบแทนแล้ว พบว่าบริษัทฯ แก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนการจ่ายผลตอบแทน โดยไม่แจ้งให้นายทะเบียนทราบก่อนจึงจะนำไปปฏิบัติตามมาตรา 38 วรรคสาม และมีโทษตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 สคบ. ได้เสนอเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ดำเนินการเปรียบเทียบบริษัทฯ และกรรมการผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัทฯ แล้ว อีกทั้งได้แจ้งผลการดำเนินการให้องค์การต่อต้านแชร์ลูกโซ่และผู้เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว

2. อนึ่ง สคบ. เป็นเพียงหน่วยงานหลักในการคุ้มครองผู้บริโภค และมีหน้าที่กำกับติดตามตรวจสอบการประกอบธุรกิจตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มิให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบเท่านั้น แต่มิได้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน หรือ “แชร์ลูกโซ่” แต่อย่างใด

จึงเรียนชี้แจงมาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน