กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รณรงค์คนไทยใช้น้ำสะอาดอย่างรู้คุณค่าเนื่องในวันน้ำโลก 22 มีนาคมของทุกปี ขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้มงวดดูแลระบบประปาหมู่บ้าน เพื่อให้มีน้ำประปาสะอาด เพียงพอสำหรับบริการประชาชน
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยเนื่องในวันน้ำโลก 22 มีนาคมโดยปีนี้รณรงค์ภายใต้ธีมคุณค่าของน้ำ ว่า จากการสุ่มตรวจคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านในปี พ.ศ. 2561-2563 จำนวน 597 แห่ง พบว่า คุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านผ่านเกณฑ์คุณภาพน้ำประปาดื่มได้กรมอนามัย เพียงร้อยละ 20 ส่วนมากจะปนเปื้อนโคลิฟอร์มแบคทีเรียและฟีคัลโคลิฟอร์มแบคทีเรีย บ่งบอกว่าน้ำประปาหมู่บ้านมีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรคสูง สาเหตุมาจากไม่มีการเติมคลอรีนฆ่าเชื้อโรค
นอกจากนี้ ในหน้าร้อนที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นทำให้ เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีขึ้นประกอบกับคลอรีนอิสระที่หลงเหลือในน้ำประปาก็สามารถสลายตัวได้ง่ายขึ้น อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินอาหารที่มาจากน้ำไม่สะอาด กรมอนามัยจึงขอความร่วมมือจากองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเข้มงวดผู้ดูแลระบบประปาหมู่บ้านในการเติมคลอรีนฆ่าเชื้อโรคในน้ำประปาอย่างถูกต้องตามมาตรฐานการปฏิบัติงาน เพื่อให้มีน้ำประปาที่สะอาด เพียงพอ บริการแก่ประชาชน พร้อมทั้งขอให้ประชาชนใช้น้ำ อย่างรู้คุณค่า โดยไม่เปิดน้ำประปาทิ้งไว้ มีการสำรวจและซ่อมเซมระบบประปาภายในบ้าน และหมั่นดูแลความสะอาดของภาชนะอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำบริโภคในครัวเรือน เพื่อเป็นการร่วมกันรณรงค์เนื่องในวันน้ำโลกอีกด้วย
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า ประชาชนที่บริโภคน้ำประปาในช่วงหน้าร้อนอาจจะได้กลิ่นคลอรีนแรงมากขึ้น อาจจะจะตั้งทิ้งไว้ก่อนประมาณ 30 นาทีเพื่อให้คลอรีนระเหยไปหรืออาจจะใช้เครื่องกรองที่มี ถ่านกัมมันต์หรือ Activated carbon เป็นสารกรองเพื่อกำจัดคลอรีนในน้ำประปาก่อนนำมาบริโภคในครัวเรือนก็ได้ และในกรณีที่จำเป็นต้องนำขวดพลาสติกเก่ามาใช้ก็ควรทำความสะอาดให้ทั่วถึงและต้องสังเกตลักษณะของขวด หากมีรอยชำรุด รั่ว แตกร้าว บุบ ก็ไม่ควรนำมาใช้ หรือหากเป็นขวดที่มีการปนเปื้อนดินก็ควรหลีกเลี่ยงใน การนำมาใช้ซ้ำเช่นกัน ซึ่งในปี 2563 กรมอนามัยได้สุ่มเก็บตัวอย่างน้ำดื่มบรรจุขวด ขนาด 20 ลิตรในครัวเรือน เพื่อตรวจสอบคุณภาพตามเกณฑ์คุณภาพน้ำประปาดื่มได้ พบผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ร้อยละ 37 โดยส่วนใหญ่ มีการปนเปื้อนเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียและฟีคัลโคลิฟอร์มแบคทีเรีย แสดงน้ำดื่มบรรจุขวดอาจมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดจากการปนเปื้อนของภาชนะบรรจุดังกล่าว ซึ่งการดูแลรักษาความสะอาดภาชนะก็มีส่วนที่ทำให้น้ำดื่ม มีความสะอาดปลอดภัย ประชาชนจึงควรให้ความสำคัญ
”สำหรับในพื้นที่ทุรกันดารที่ขาดแคลนน้ำสะอาด ก่อนนำมาดื่มควรต้มให้เดือดอย่างน้อย 1-2 นาที เก็บในภาชนะที่สะอาด มีฝาปิดมิดชิด ส่วนการนำน้ำจากแม่น้ำ ลำคลอง หรือแหล่งน้ำผิวดินแหล่งอื่น ๆ มาใช้โดยตรง ควรปรับปรุงคุณภาพน้ำและฆ่าเชื้อโรคก่อน ด้วยการแกว่งสารส้มชนิดก้อนในน้ำและให้สังเกตตะกอนในน้ำ หากเริ่มจับตัวให้ตั้งทิ้งไว้จนตกตะกอน แล้วนำเฉพาะน้ำใสมาฆ่าเชื้อโรคโดยใช้หยดทิพย์ อ.32 ของกรมอนามัย ซึ่งเป็นสารละลายคลอรีนชนิดเข้มข้น 2 เปอร์เซ็นต์ ในอัตราส่วน 1 หยดต่อน้ำ 1 ลิตร ปล่อยไว้ให้มีระยะเวลาฆ่าเชื้อโรคอย่างน้อย 30 นาที ก่อนนำไปใช้จะช่วยป้องกันเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในน้ำ ที่สำคัญควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนกรอง รองหรือตักน้ำใส่ภาชนะบรรจุ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของจุลินทรีย์จากมือที่ไม่สะอาด ช่วยให้ประชาชนได้บริโภคน้ำที่สะอาด ปลอดภัย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด