2 องค์กร จับมือวิจัย พัฒนาตำรับยาไทย และยาแผนไทยที่มีกัญชา กัญชง เป็นส่วนผสม ชู ภูมิปัญญาชาติ ให้เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและระดับสากล

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จับมือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อยอดงานวิจัย พัฒนาตำรับยาไทยและยาแผนไทยที่มีกัญชา กัญชง เป็นส่วนผสม เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยให้เป็นที่ยอมรับและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและระดับสากล

วันที่ 25 สิงหาคม 2563 ณ ห้องประชุม 1002 ชั้น 10 อาคารนวัตกรรมทางเภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 2 เรื่อง เรื่องแรกบันทึกข้อตกลงการศึกษาวิจัยตำรับยาไทยและองค์ความรู้อื่นๆ ที่เกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก การสร้างและพัฒนาเครือข่ายนักวิจัย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบุคลากรและการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลด้านการวิจัย เรื่องที่สองบันทึกข้อตกลงว่าความร่วมมือดำเนินการวิจัยและพัฒนายาแผนไทยที่มีกัญชา กัญชง เป็นส่วนผสม ระหว่าง นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข และ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วย สักขีพยานทั้ง 2 หน่วยงาน การลงนามข้อตกลงดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อสร้างความต่อเนื่องในการร่วมมือด้านงานวิจัย ระหว่าง กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยคณะแพทยศาสตร์  คณะเภสัชศาสตร์ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ให้คำปรึกษาและเป็นพี่เลี้ยงในการศึกษาวิจัยตำรับยาไทย ยาแผนไทยที่มีกัญชา กัญชง เป็นส่วนผสม จัดการข้อมูล(data management) จัดการความรู้ (knowledge management) พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการวิจัย สร้างและพัฒนาภาคีเครือข่ายนักวิจัย และเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลด้านการวิจัยด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกร่วมกัน

ที่ผ่านมากรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการวิจัยร่วมกันก่อนหน้านี้ เช่น โครงการพัฒนาภาคีเครือข่ายนักวิจัยด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกในแต่ละภูมิภาคที่ได้ผลผลิตเป็นการพัฒนานักวิจัยหน้าใหม่ ได้ผลงานวิจัยนำเสนอเสนอเวทีประชุมวิชาการทั้งในและต่างประเทศ ได้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ที่เป็นที่ยอมรับ รวมถึงรอการเผยแพร่อีกกว่า 50 ผลงาน ตัวอย่างเช่น การทดลองทางคลินิกเพื่อเปรียบเทียบยาขมิ้นชันกับ omeprazole ในการรักษา functional dyspepsia, การทดลองทางคลินิกเพื่อเปรียบเทียบตำรับยาสมุนไพรกับ domperidone ในการเพิ่มปริมาณน้ำนมในมารดาหลังคลอด, การวิจัยเชิงสังเกตุเพื่อศึกษาความปลอดภัยและผลการรักษาโรคทางระบบประสาท กล้ามเนื้อ ทางเดินหายใจ ผิวหนัง ด้วยตำรับยาสมุนไพรไทย ทั้งแบบรับประทาน สูด และประคบ ร่วมกับศาสตร์อื่นๆ เช่น การนวด และ การฝังเข็ม, การวิจัยเชิงคุณภาพ เกี่ยวกับตำรับยาสมุนไพรสำหรับโรคสะเก็ดเงิน ข้อเข่าเสื่อม แผลร้อนใน ภาวะมีบุตรยาก, การสำรวจการสั่งจ่ายยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ สำหรับโรคต่างๆ, การสำรวจที่ตั้งและการผ่านเกณฑ์คุณภาพโรงงานผลิตยาสมุนไพรทั่วประเทศไทย, การพัฒนากรอบการวิจัยด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกของประเทศ ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมแอพลิเคชั่นมือถือ เพื่อเพิมความปลอดภัยในการใช้สมุนไพร เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีการร่วมกันพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อให้มีความพร้อมสำหรับดำเนินการในห้องปฏิบัติการทั้งด้านการตรวจสอบ ประเมินและควบคุมคุณภาพสมุนไพรก่อนนำมาศึกษาวิจัย รวมถึงความร่วมมือด้านการเป็นที่ปรึกษางานวิจัย ทั้งระดับพรีคลินิกและงานวิจัยทางคลินิกอีกหลายโครงการ โดยล่าสุดโครงการติดตามลักษณะการใช้และคุณภาพชีวิตของผู้ใช้น้ำมันกัญชาในทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งศึกษาวิจัยน้ำมันกัญชา (ตำรับหมอ เดชา) ในโรงพยาบาล 30 แห่ง มีอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการฯกว่า 18,000 คน เพื่อประเมินผลของน้ำมันกัญชาทางการแพทย์แผนไทยต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและศึกษาลักษณะการสั่งใช้น้ำมันกัญชาทางการแพทย์แผนไทย โดยได้รับความร่วมมือจาก ผศ.ดร.นพ.กฤษณ์ พงศ์พิรุฬห์ และนายภานุพงศ์ ภู่ตระกูล อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการให้คำปรึกษาและถ่ายทอดเทคโนโลยี ในการเก็บข้อมูลผู้ป่วยผ่านโปรแกรม REDCap ของ Chula-Data Management Center (Chula-DMC) ซึ่งผลการศึกษาเบื้องต้น พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับน้ำมันกัญชา (สูตรหมอเดชา) ที่มีอาการนอนไม่หลับ ปวดมะเร็ง ปวดไม่เกรน เบื่ออาหาร ภูมิแพ้  โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

จากความร่วมมือที่ผ่านมาทำให้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงดำเนินการลงนามความร่วมมือต่อเนื่อง ในการสร้างและพัฒนางานวิจัยให้ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สร้างเครือข่ายนักวิจัยด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบุคลากร และการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลด้านการวิจัย ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดความเชื่อมั่นและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และสามารถนำการศึกษาวิจัยต่างๆ มาใช้อ้างอิงในระบบบริการสุขภาพได้ต่อไป

………………………………………