ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนกุมภาพันธ์ 2563 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้นร้อยละ 0.74 (YoY) ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า ที่ขยายตัวร้อยละ 1.05 โดยมีปัจจัยสำคัญจากหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ปรับตัวสูงขึ้นในทุกกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะอาหารสด อาหารสำเร็จรูป และเครื่องประกอบอาหาร ที่เป็นผลจาก สถานการณ์ภัยแล้ง ในขณะที่กลุ่มพลังงานกลับมาหดตัวอีกครั้งในรอบ 2 เดือน สำหรับหมวดอื่นๆ ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกแล้ว เงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัวที่ร้อยละ 0.58 (เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ขยายตัว ร้อยละ 0.47) และเฉลี่ย 2 เดือน เงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้นร้อยละ 0.89 (AoA) และเงินเฟ้อพื้นฐานสูงขึ้นร้อยละ 0.53 (AoA)
การชะลอตัวของเงินเฟ้อในเดือนนี้ นอกจากจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและการลงทุนที่ชะลอตัวแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากความกังวลของผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID -19 ส่งผลกระทบทางตรงต่อพฤติกรรมและการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ในขณะที่ผลกระทบทางอ้อมทำให้รายได้ของภาคธุรกิจ ทั้งการท่องเที่ยว การขนส่ง การค้าปลีกและการค้าส่ง การผลิตและบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องลดลง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้เงินเฟ้อในเดือนนี้ อยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเครื่องชี้วัดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พบว่า ยังมีสัญญาณที่ดี ทั้งด้านรายได้และการใช้จ่าย อาทิ ราคาสินค้าเกษตรสำคัญ โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 105.34 สอดคล้องกับรายได้เฉลี่ยของเกษตรกรที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน นอกจากนี้ รายได้จากการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่เก็บจากการบริโภค ในประเทศ และดัชนีอุปโภคบริโภคภาคเอกชนก็ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการส่งออกก็กลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในรอบ 5 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และมีโอกาสฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ปกติ
สถานการณ์ราคาสินค้าและบริการ เดือนกุมภาพันธ์ 2563
ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนกุมภาพันธ์ 2563 เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน สูงขึ้นร้อยละ 0.74 (YoY) ตามการสูงขึ้นของหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ 2.04 สูงขึ้นทุกกลุ่มสินค้า ได้แก่ ข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ 7.77 (ข้าวสารเหนียว) เนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ 2.44 (เนื้อสุกรกระดูกซี่โครงหมู ปลานิล) จากความต้องการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ผักและผลไม้ สูงขึ้นร้อยละ 3.0 จากภาวะภัยแล้งเป็นสำคัญ โดยผักสด สูงขึ้นร้อยละ 3.46 (ผักคะน้า กระเทียม ผักบุ้ง ขิง หัวหอมแดง) และผลไม้สด สูงขึ้นร้อยละ 1.32 (ฝรั่ง กล้วยน้ำว้า สับปะรด ส้มเขียวหวาน) ไข่และผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้นร้อยละ 0.95 (ไข่ไก่ ไข่เป็ด นมเปรี้ยว) เครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ 2.56 (น้ำมันพืช มะพร้าว (ผลแห้ง/ขูด) น้ำปลา ซอสหอยนางรม) เครื่องดื่ม ไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ 2.31 (น้ำอัดลม น้ำหวาน เครื่องดื่มรสช็อกโกแลต) อาหารบริโภคในบ้านและนอกบ้าน สูงขึ้นร้อยละ 0.80 และ 0.49 ตามลำดับ (กับข้าวสำเร็จรูป อาหารเช้า ข้าวแกง/ข้าวกล่อง) ขณะที่หมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ 0.01 จากการลดลงของหมวดพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร ร้อยละ 0.48 ตามราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภท (ยกเว้นก๊าซยานพาหนะ (LPG)) และการสื่อสาร (เครื่องรับโทรศัพท์มือถือ) และหมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าลดลงร้อยละ 0.01 (เสื้อยืดบุรุษ รองเท้าหุ้มส้นหนังสตรี เสื้อยกทรงสตรี) ส่วนสินค้าและบริการที่ปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเคหสถาน สูงขึ้นร้อยละ 0.22 (ค่าเช่าบ้าน น้ำยารีดผ้า ผงซักฟอก) หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล สูงขึ้นร้อยละ 0.38 (ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว น้ำยาระงับกลิ่นกาย โฟมล้างหน้า) และหมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษาฯ สูงขึ้นร้อยละ 0.52 (ค่าเดินทางไปเยี่ยมญาติและทำบุญ ค่าเล่าเรียน-ค่าธรรมเนียมการศึกษา) รวมทั้ง ค่าโดยสารสาธารณะปรับสูงขึ้น ส่วนหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ โดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง
ดัชนีราคาผู้บริโภค เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2563 ลดลงร้อยละ 0.08 (MoM) และเฉลี่ย 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) ปี 2563 สูงขึ้นร้อยละ 0.89 (AoA)
ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนกุมภาพันธ์ 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน สูงขึ้นร้อยละ 0.1 (YoY) ขยายตัวเป็นบวก ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 หลังจากที่หดตัวมา 8 เดือน ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าในหมวดผลผลิตเกษตรกรรม ร้อยละ 5.3 ได้แก่ กลุ่มผลผลิตการเกษตร (ข้าวเปลือกเหนียว อ้อย ผักสด (ข้าวโพดฝักอ่อน ผักคะน้า) ผลไม้ (องุ่น กล้วยหอม) ปริมาณผลผลิตลดลงเนื่องจากหลายพื้นที่เพาะปลูกประสบภัยแล้ง ปาล์มสด ราคาปรับสูงขึ้นตามมาตรการของรัฐเป็นสำคัญ) กลุ่มสัตว์ มีชีวิต และผลิตภัณฑ์ (สุกร ไก่มีชีวิตและไข่ไก่) ตามความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ สำหรับสินค้าที่ราคาลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลังสด และกุ้งแวนนาไม ส่วนสินค้าสำคัญที่ปรับลดลงตามราคาตลาดโลกและวัตถุดิบ ได้แก่ หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง ลดลงร้อยละ 4.0 (ก๊าซธรรมชาติ และแร่ (ตะกั่ว สังกะสี ดีบุก)) และหมวดผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 0.4 (กลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง กลุ่มเครื่องไฟฟ้า อุปกรณ์และอิเล็กทรอนิกส์ (ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ สายไฟ) กลุ่มเคมีภัณฑ์ (เม็ดพลาสติก) กลุ่มโลหะขั้นมูลฐาน (เหล็กแท่ง เหล็กแผ่น) และกลุ่มสิ่งทอ
ดัชนีราคาผู้ผลิต เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2563 ลดลงร้อยละ 0.4 (MoM) และเฉลี่ย 2 เดือน (ม.ค.-ก.พ.) ปี 2563 สูงขึ้นร้อยละ 0.4 (AoA)
ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เดือนกุมภาพันธ์ 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงร้อยละ 2.0 (YoY) ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา (มิถุนายน 2562) โดยเฉพาะหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ที่ลดลงร้อยละ 9.4 ตามราคาตลาดโลก ประกอบกับความต้องการใช้ในประเทศลดลง โดยเฉพาะเหล็กเส้นกลมผิวเรียบ-ผิวข้ออ้อย เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ หมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต ลดลงร้อยละ 1.2 (คอนกรีตบล็อกก่อผนังมวลเบา คอนกรีตผสมเสร็จ) เนื่องจากภาวะการค้าชะลอตัว และการแข่งขันสูง หมวดซีเมนต์ ลดลงร้อยละ 0.1 (ปูนซีเมนต์ผสม ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์) ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง หมวดกระเบื้อง สูงขึ้นร้อยละ 1.7 (กระเบื้องแกรนิต) ตามต้นทุน หมวดไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ สูงขึ้นร้อยละ 0.5 (วงกบประตู-หน้าต่าง บานประตู) ราคาสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2562 หมวดวัสดุฉาบผิว สูงขึ้นร้อยละ 0.4 (สีเคลือบน้ำมัน สีรองพื้นปูนและสีรองพื้นโลหะ) หมวดอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา สูงขึ้นร้อยละ 0.4 (ท่อร้อยสายไฟ และสายโทรศัพท์พีวีซี) หมวดสุขภัณฑ์ สูงขึ้นร้อยละ 0.3 (อ่างล้างหน้าเซรามิก กระจกเงา ที่ใส่สบู่)
ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2563 ลดลงร้อยละ 0.2 (MoM) และเฉลี่ย 2 เดือน (ม.ค.-ก.พ.) ปี 2563 ลดลงร้อยละ 1.9 (AoA)
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 43.1 จากระดับ 44.1 ในเดือนก่อนหน้า ลดลงทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคต โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากระดับ 38.9 มาอยู่ที่ระดับ 38.2 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตปรับตัวลดลงจากระดับ 47.6 มาอยู่ที่ระดับ 46.4 เป็นที่น่าสังเกตว่า ความเชื่อมั่นโดยรวมของกลุ่มเกษตรกร โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่กลุ่มอาชีพและภาคอื่น ๆ ลดลง อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวม ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 50 สาเหตุหลักน่าจะมาจากความกังวลต่อสถานการณ์ไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมและวิถีชีวิตประจำวันของประชาชน รวมทั้ง ยังกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นวงกว้าง ทั้งในภาคการท่องเที่ยว ภาคการขนส่ง ภาคการค้าและการบริการ ภาคการผลิตและการลงทุนที่เกี่ยวข้อง
แนวโน้มปี 2563
เงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2563 มีปัจจัยบวกจากราคาสินค้าเกษตรที่ได้รับอิทธิพลจากภัยแล้ง และราคาน้ำมันที่เริ่มทรงตัวในช่วงแรกก่อนจะเริ่มผันผวนในทิศทางที่ลดลงในระยะต่อมา ในขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลก และการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เป็นปัจจัยลบที่ส่งผลต่อรายได้ กำลังซื้อ และความต้องการสินค้าและบริการ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะส่งผลให้เงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีแรกอาจต่ำกว่าการคาดการณ์ (ต่ำกว่า 0.8) อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ผนวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐที่เริ่มทะยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ภัยแล้งยังคงมีอิทธิพลต่อราคาสินค้าเกษตรค่อนข้างมากในปีนี้ น่าจะทำให้เงินเฟ้อในครึ่งหลังของปี มีโอกาสกลับเข้าสู่กรอบคาดการณ์ได้ ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2563 อยู่ระหว่างร้อยละ 0.4 – 1.2 (ค่ากลางอยู่ที่ 0.8) ซึ่งอาจมีการทบทวนกรอบการคาดการณ์เพื่อความเหมาะสมและ